วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~วิทยาศาสตร์ในวันคริสต์มาส



วิทยาศาสตร์ในวันคริสต์มาส




1. 25 ธ.ค. วันเกิดพระเยซู?เป็นที่รู้กันดีว่า พระเยซูประสูติเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม หรือ "วันคริสต์มาส"แต่นายเดฟ รีนีก นักดาราศาสตร์มือสมัครเล่นชาวออสเตรเลีย ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน คำนวณดูดวงดาวที่เกิดขึ้นในเมืองเบธเลเฮม เมื่อ 2008 ปีก่อน ตามที่ไบเบิ้ลระบุว่า ชาย 3 คนเดินตาม "ดาวต้นคริสต์มาส" จนพบพระเยซู รีนีก พบว่า มี "ดาวต้นคริสต์มาส" เกิดขึ้นใน 2 ปีก่อนคริสตกาลจริง แต่พระเยซูน่าจะประสูติในวันที่ 17 มิถุนายน ไม่ใช่วันที่ 25 ธันวาคมทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ดาวต้นคริสต์มาสคือดาวศุกร์และดาวพฤหัสที่โคจรเข้ามาใกล้กันมาก จนทำให้เกิดแสงสุกสกาวมากกว่าปกติ




2. "ดาวต้นคริสต์มาส"เจิดจ้ากลางฟ้า วิลเลียม เฮอร์เชล เป็นบุคคลแรกที่เห็นดาวต้นคริสต์มาส หลังจากที่ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1784 แสงของกลุ่มดาวเป็นประกายระยิบระยับคล้ายกับไฟประดับต้นคริสต์มาส และมีดาวที่สว่างที่สุดอยู่ด้านบน ส่วนปีนี้นักดาราศาสตร์ยุโรป นำภาพดาวต้นคริสต์มาสมาฝากกัน โดยใช้กล้อง "ไวด์ ฟีลด์ อิมเมจเจอร์ (WFI)" ที่หอดูดาวลาซิญญ่า ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูงในทะเลทรายอะตาคามา ประเทศชิลี ถ่ายรูปนี้ออกมา จะเห็นกลุ่มฝุ่นและก๊าซในอวกาศ หรือ "เนบิวลา" ที่มีชื่อว่า "NGC 2264" มีลักษณะเป็นทรงกรวย และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 2,600 ปีแสง รวมทั้งกลุ่มดาวภาพส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสีแดงนั้น เกิดจากลุ่มก๊าซขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงออกมาใต้แสงอัลตราไวโอเลตที่ออกมาจากดวงดาวที่มีอายุน้อยกว่า สำหรับดวงดาวที่มีสีอมน้ำเงิน เป็นเพราะเป็นดาวที่มีความร้อนกว่า อายุน้อยกว่าและมีความหนาแน่นกว่าพระอาทิตย์ของเรา




3. การ์ดคริสต์มาสกินได้ถ้าท้องยังไม่อิ่มในวันคริสต์มาส ผู้ที่มีการ์ดของบริษัทออกซิเจนครีเอทีฟ ก็สามารถเอาการ์ดมากินเป็นอาหารได้การ์ดจากฝีมือการออก แบบของ "สตีฟ ลอดจ์" นี้ทำมาจากแป้งมันฝรั่ง หมึกที่อยู่บนกระดาษก็เป็นหมึกที่กินได้ ส่วนภาพที่อยู่บนการ์ดเป็นรูปบรัสเซลล์สเปราส์ ที่คล้ายกับแขนงผักของบ้านเรา ถ้าจะเขียนคำอวยพรในการ์ด เขาก็มีปากกาที่บรรจุหมึกกินได้ วางขายคู่กันด้วย



4. เสียงเพลงคริสต์มาสโบราณรัสเซล บาร์นส์ คุณปู่ชาวอังกฤษวัย 79 ปี เปิดเผยว่า พบเสียงร้องเพลงคริสต์มาสของครอบครัวสมิธที่ร้องไว้เกือบ 100 ปีก่อนครอบครัวสมิธอาศัยอยู่ที่เมืองซาลิสบิวรี่ ร้องเพลงคริสต์มาสโดยบันทึกไว้ใน "โฟโนกราฟ ไซคลินเดอร์" หรือ "เครื่องเล่นกระบอกเสียง" ที่ทำมาจากขี้ผึ้ง สบู่ จำนวน 8 อัน ระหว่างค.ศ. 1913-1917 นอกจากเสียงร้องเพลงคริสต์มาสแล้ว ครอบครัวสมิธยังพูดคุยว่า "พ่อไปทำสงคราม" ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดี พร้อมยังอัดเสียงพูดคุยในครอบครัวในวันสำคัญต่างๆ เช่น วันอีสเตอร์ วันเกิดเสียงที่พบเป็นเสียงของคนราว 10 คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นเสียงของผู้ที่มีชื่อว่า อลิซ ทอม ฟีบี้ จอร์จ มาร์จี้ มีเสียงการอวยพรวันเกิดปีที่ 9 ของเด็กชายรอนนี่ ที่ได้รับของขวัญเป็นรถถีบ ผู้ที่เป็นพ่อน่าจะชื่อว่าแซมมวล บอกว่า วันนั้นเป็นวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1913"เครื่องเล่นกระบอกเสียง" มีความเปราะบาง จึงเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหาย แต่ราว 10 วันก่อน คุณปู่บาร์นส์ได้อัดเสียงร้องเพลงจาก "เครื่องเล่นกระบอกเสียง" มาไว้ในซีดี ด้วยการใช้เครื่อง "อาร์คีโอโฟน" ซึ่งประดิษฐ์โดย นายอองรี ชามูซ์ วิศวกรชาวฝรั่งเศส เพราะเครื่อง "อาร์คีโอโฟน" สามารถอัดเสียงร้องจาก "เครื่องเล่นกระบอกเสียง" มาไว้ในซีดี โดยไม่ทำให้ "เครื่องเล่นกระบอกเสียง" เสียหายเลย




5. "กวางเรนเดียร์"ตัวผู้หรือเมีย?กวางเรนเดียร์เป็นพาหนะของซานตาคลอส แล้วมันเป็นตัวผู้ ตัวเมียกี่ตัว?ดร.อลิซ บลู-แมกเลนดอน ผู้วชาญด้านสัตว์ป่าโดยเฉพาะกวาง จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส เอแอนด์เอ็ม สหรัฐอเมริกา มีความเห็นว่า กวางเรนเดียร์ของซานตาคลอสทุกตัวเป็นตัวเมีย เหตุที่เป็นเพศเมียก็เพราะ กวางตัวผู้จะสลัดเขาในช่วงคริสต์มาส แต่ตัวเมียจะเก็บเขาไว้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมแต่ ดร.เกร็ก ฟินสตัด หัวหน้าโครงการศึกษาเรนเดียร์ จากมหาวิทยาลัย อลาสกา แฟร์แบงค์ สหรัฐอเมริกา ค้านว่า เรนเดียร์ของซานตาคลอสอาจเป็นตัวผู้ที่เป็นหมัน หรือ เรียกว่า "สเตียร์" ที่จะคงเขาไว้จนถึงช่วงเวลาเดียวกับตัวเมียดร.ฟินสตัด ยังกล่าวต่อไปอีกว่า นักลากเลื่อนส่วนใหญ่ใช้ "สเตียร์" ในช่วงฤดู หนาว เพราะในช่วงฤดูหนาว ตัวเมียส่วนใหญ่จะตั้งท้อง เนื่องจากฤดูติดอยู่ในช่วงฤดูร้อนจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ไม่มีนักลากเลื่อนคนใดอยากใช้กวางท้องลากเลื่อนสำหรับกวางเรนเดียร์ของซานตาคลอสมีทั้งหมด 9 ตัว ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ "รูดอล์ฟ" กวางจมูกแดง ส่วนเพื่อนตัวอื่นๆ มี ดอนเนอร์ บลิตเซ่น คิวปิด แดชเชอร์ แดนเซอร์ แพรนเซอร์ คอมเม็ต และวิกเซ่น





6. ผู้ป่วยโรคหัวใจต้องระวังช่วงคริสต์มาสเป็นช่วงอันตรายสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ ทั้งหัวใจวาย หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจล้มเหลว โดยเฉพาะ "วันที่ 26 ธันวาคม" ถือเป็นวันที่อันตรายที่สุดเมื่อ 4 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก และมหาวิทยาลัยทัฟส์ สหรัฐอเมริกา ทำการศึกษาและพบว่า ช่วงคริสต์มาสมีผู้ป่วยหัวใจเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 5% และมีการเรียกช่วงนี้ว่า "โรคหลอดเลือดคริสต์มาส (Christmas coronaries)"แพทย์มีความเห็นว่า ก่อนคริสต์มาสผู้ป่วยไม่อยากไปหาหมอ โดยวันคริสต์มาสมีผู้ป่วยโรคหัวใจเข้ามารับการรักษาไม่มาก แต่ถัดจากนั้นเพียงวันเดียว คือวันที่ 26 ธันวาคม ผู้ป่วยกลับพุ่งขึ้นจนผิดหูผิดตาจากเศรษฐกิจที่ล้มระเนระนาดในปีนี้ อาจทำให้มีผู้ป่วยโรคหัวใจมาเข้ารับการรักษาในช่วงคริสต์มาสมากกว่าปีก่อนๆ นายแพทย์ซามิน ชาร์มา ผู้วชาญโรคหัวใจ จากโรงพยาบาลเมาต์ไซนาย เตือนว่า ผู้ป่วยหัวใจอย่าลืมตัวไปรับประทานอาหารที่มีเกลือสูง เพราะอาหารที่เค็ม การดื่มเหล้าเยอะ สามารถทำให้หัวใจวายได้ทั้งนั้นขณะที่คุณหมอและคุณพยาบาลแผนกฉุกเฉินและแผนกผู้ป่วยโรคหัวใจ ต้องเตรียมรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นให้ดี






7. "พอยเซ็ตเทีย"ต้นไม้ประจำคริสต์มาส ถ้าพูดถึง "ต้นพอยเซ็ตเทีย" เราส่วนใหญ่คงไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่า นี่คือ "ต้นคริสต์มาส" ที่ออกใบสีแดงสด คงร้องอ๋อกันเป็นแถวๆที่จริงแล้ว "พอยเซ็ตเทีย" หรือ "Euphorbia Pulcherrima" มีหลายสี ทั้งสีแดงซึ่งเป็นสีหลัก สีครีม สีขาว โดยสวนที่ปลูก "พอยเซ็ตเทีย" พยายามผสมสีใหม่ๆ มาวางตลาด ทั้งม่วงเข้ม ส้มอมชมพู แดงจุดขาว และผสมพันธุ์ให้มันอยู่ทนนานจนถึงช่วง "วันอีสเตอร์" คือประมาณเดือนมีนาคมถึงเมษายน"พอยเซ็ตเทีย" เป็นไม้กระถางลำดับ 2 ที่ชาวอังกฤษซื้อมากที่สุด มียอดซื้อปีละประมาณ 5 ล้านต้น รองมาจากกล้วยไม้ โดยเฉพาะช่วงคริสต์มาสยิ่งขายดี สีที่ชาวอังกฤษนิยมจะเป็นสีแดง ลำต้นค่อนข้างสูง ส่วนชาวยุโรปทางตอนกลางนิยมต้นที่เตี้ยลงมาเล็กน้อย ชาวสวีเดนชอบต้นเล็กๆ ชาวเยอรมันชอบสีสด ส่วนชาวฝรั่งเศสเป็นชาติเดียวที่นิยมซื้อ "พอยเซ็ตเทีย" ตลอดทั้งปีเหตุที่ "พอยเซ็ตเทีย" เป็นต้นไม้ประจำเทศกาลคริสต์มาส นอกจากต้นสน ต้นฮอลลี่ มีเรื่องเล่าว่า เมื่อราวศตวรรษที่ 16 ที่ประเทศเม็กซิโก เด็กหญิงคนหนึ่งยากจนมาก จนไม่สามารถซื้อของขวัญเพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู นางฟ้าจึงบอกเด็กหญิงนำวัชพืชมาปลูกตามทางเดินที่จะไปโบสถ์ ไม่นานวัชพืชกลับงอกงามกลายเป็นต้นไม้ที่มีดอกสีแดงสะพรั่งกระทั่งศตวรรษที่ 17 บาท หลวงจากนิกายคาธอลิกของเม็กซิ โก จึงพร้อมใจกันให้ "พอยเซ็ต เทีย" เป็นต้นไม้หนึ่งของเทศกาลคริสต์มาส ส่วนชาวอเมริกันนั้นชอบถึงขนาดให้วันที่ 12 ธันวาคมของทุกๆ ปี เป็น "วันพอยเซ็ตเทีย"







วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~ต้นกำเนิดวันปีใหม่


ต้นกำเนิดวันปีใหม่


มีเรื่องเล่ากันว่า จริงๆ แล้วในอดีต วันปีใหม่ไม่ใช่วันที่ 1 มกราคม หรอกนะคะ แต่เป็นวันที่ 1 มีนาคม ตามปฏิทินโบราณของชาวโรมัน โดยปฏิทินนี้จะมีแค่ 10 เดือน และเดือนมีนาคมจะเป็นเดือนแรกของปี เพราะปฏิทินจะนับตามการโคจรของดวงจันทร์ โดยเริ่มจากฤดูใบไม้ผลิ จนถึงสิ้นฤดูใบไม้ร่วง

สำหรับการเฉลิมฉลองปีใหม่เริ่มขึ้นครั้งแรกในยุคเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณสองพันปีที่แล้วประมาณช่วงกลางเดือนมีนาคม เรียกว่า vernal equinox ต่อมาชาวอียิปต์ เปอร์เซีย และเฟนีเชียนเริ่มเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ของพวกเขาในช่วงเวลา fall equinox น้องๆ คงสงสัยสินะคะว่า Equinox คืออะไร เราสามารถให้คำจำกัดความของ Equinox ได้ว่า คือ ช่วงเวลาที่กลางวันและกลางคืนเท่ากัน ซึ่งมักจะเกิดในช่วงวันที่ 21 มีนาคมและ 23 กันยายน ส่วนชาวกรีกจะเฉลิมฉลองตาม winter solstice หรือวันที่มีกลางวันสั้นที่สุด ทางซีกโลกเหนือ ซึ่งก็คือช่วง 22 ธ.ค. ถึง 5 ม.ค. นั่นเอง

มีตำนานเล่ากันว่าในยุคของ Numa Pompilius กษัตริย์องค์ที่ 2 ของโรมันก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการแบ่งเดือนใหม่ โดยเพิ่มเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์เข้าไป หากชาวโรมส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับ และยังเฉลิมฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 มีนาคมกันต่อไป

จนเมื่อถึงยุคสาธารณรัฐโรมัน ก็เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 1 ม.ค. เป็นครั้งแรกโดยจูเลียส ซีซาร์เมื่อ 46 ปีก่อนคริสตศักราช เพราะเดือนมกราคมนี้ตั้งชื่อตามชื่อเทพเจ้าจานุส (Janus) เทพกรีกที่คนโรมันนับถือบูชา พระองค์จึงต้องการให้เดือนนี้เป็นการเริ่มต้นวันขึ้นปีใหม่




ความเชื่อเกี่ยวกับเทศกาลปีใหม่ตามประเทศต่างๆ

เริ่มต้นด้วยประเทศในแถบยุโรปอย่างประเทศอังกฤษ ชาวอังกฤษจะมีความเชื่อว่า ผู้ชายคนแรกที่มาเยือนที่บ้านหลังจากเที่ยงคืนแล้วจะนำความโชคดีมาให้ โดยปกติแล้วชาวอังกฤษมักจะให้ของขวัญอย่างเช่น เงิน ขนมปังหรือก้อนถ่าน เพื่อเป็นการอวยพรให้ครอบครัวนั้นมีสิ่งของเหล่านั้นอย่างอุดมสมบูรณ์ตลอดปี ผู้ที่มาคนแรกนั้นจะต้องไม่ใช่คนผมบลอนด์ ผมสีแดง หรือเป็นผู้หญิง เพราะเชื่อว่าคนเหล่านี้จะนำความโชคร้ายมาให้

ส่วนที่ประเทศเดนมาร์ก เชื่อกันว่า ถ้าบ้านไหนมีเศษจานแตกกองสุมอยู่หน้าประตูบ้านเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าบ้านนั้นมีเพื่อนฝูงคบหาสมาคมมากมาย เพราะชาวเดนิชจะเก็บสะสมจานไว้ตลอดปี แล้วจะนำไปขว้างที่หน้าบ้านเพื่อนของพวกเขาในวันก่อนปีใหม่




มาต่อกันที่ประเทศในแถบอเมริกาใต้อย่างบราซิล ชาวบราซิลเชื่อว่า ซุปถั่วแขก (Lensil Soup) จะเป็นเครื่องแสดงความมั่งคั่ง ดังนั้นในวันแรกของปี ชาวบราซิลจะทำซุปถั่วแขกทานกัน หรือว่าจะทานถั่วแขกกับข้าว

ข้ามมาที่ประเทศในทวีปเอเชียกันบ้างนะคะ ที่ประเทศศรีลังกา จะเริ่มเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในวันที่ 13 หรือ 14 เมษายนตามปฏิทินของฮินดู ผู้คนที่นั่นจะทำความสะอาดบ้านช่องในช่วงก่อนถึงวันปีใหม่ บางบ้านอาจจะทาสีบ้านใหม่ หรือเตรียมทำของหวานหลายชนิดเพื่อรับประทานในวันปีใหม่ เพราะชาวศรีลังกาจะไม่ทำอาหารหรือจุดไฟในคืนก่อนวันปีใหม่ และพวกเขาจะทานข้าว pongal เป็นมื้อแรกของวันปีใหม่ ซึ่งเป็นอาหารที่ทำจากข้าว ผสมน้ำตาล และมะพร้าว มีรสชาติหวาน



สำหรับที่ประเทศญี่ปุ่น วันปีใหม่จะถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของครอบครัว ร้านรวงต่างๆ รวมไปถึงสำนักงานและโรงงานจะปิดทำการในวันนั้น ผู้คนมักจะไปไหว้พระขอพรตามวัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ เด็กๆ หรือวัยรุ่น ตามวัดต่างๆ เมื่อย่างเข้าวันปีใหม่ จะเริ่มตีระฆัง 108 ครั้ง เพื่อปลดปล่อยสิ่งชั่วร้ายทั้งหมด 108 อย่างจากปีก่อนให้หมดไป ซึ่งเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า โจยะโนะคาเนะ และเมื่อเริ่มปีใหม่ ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการหัวเราะจะเป็นการทำให้พวกเขาโชคดีในปีใหม่อีกด้วย




สวัสดีปีใหม่ ของแต่ละประเทศ

ฝรั่งเศส
Bonne année
บอน นันเน่


จีน
Xin nian yu kuai / Xin Nian Kuai Le
ซิน เหนียน หยู ไคว่/ซิน เหนียน ไคว่ เลอ

ญี่ปุ่น
Akemashite Omedetou Gozaimasu
อะเคมาชิเตะ โอเมเดโตโกไซมัส

เกาหลี
Sehe Bokmanee Bateuseyo
เซ เฮ บก มา นี พา ดือ เซ โย

เวียดนาม
Chuc mung nam moi
จุ๊ก หมึ่ง นัม เหมย


วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~PAI

PAI


Pai is a small community, embraced by rolling mountains and enveloped in natural setting that is fresh and beautiful. The atmosphere is clean, pure, quiet and warmly welcoming. The different ethnic groups, religious beliefs and languages of the people of plains and the people of the mountains have blended together here to form a unique set of cultural traditions.The citizens of Pai live their lives with a spirit of generosity and a sense of community, always ready to give someone a helping hand. Yet at the same time, the remoteness of the region makes travel to and from Pai difficult. Many people would rather not come and risk their chances in such an isolated place. However, many other people entrust their luck to fate in this very spot, and others dream of having just one chance in their lives to come and experience the summit of the north of Thailand.









Pai can be found to the northwest of Bangkok, 1035 kilometers along the main roads, at19.15 degrees - 19.30 degrees latitude north and at 98.15 degrees – 98.30 degrees longitude east. AT its lowest, Pai is 508 meters from sea level. The highest summit, Doi Jik Jong, which can be seen from Pai, is 1,972 meters from sea level. You can climb this mountain and experience the tropical forest and virgin jungle of the area.

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~บอกรักพ่อด้วยดอกพุทธรักษา

บอกรักพ่อด้วยดอกพุทธรักษา




หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทำไมดอกพุทธรักษาจึงเป็นดอกไม่ประจำวันพ่อและมีความหมายว่าอย่างไร?



ตั้งแต่มีการกำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติขึ้นมาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 ก็ได้มีการกำหนดให้ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อขึ้นมาพร้อมกัน คงเพราะด้วยชื่ออันเป็นมงคลของคำว่า "พุทธรักษา" ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อจึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว










พุทธรักษา มีชื่อเรียกอื่นเช่น พุทธศร บัวละวงศ์ เป็นพืชในวงศ์ CANNACEAE ชื่อสามัญ Butsarana และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Canna indica เป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1–2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้นมีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 2–4 ซ.ม. ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูน โคนใบมีก้านใบยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10–15 ซ.ม. ยาวประมาณ 25–35 ซ.ม. ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 15–20 ซ.ม. ประกอบด้วยดอก 8–10 ดอก และมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสรรแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์




คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนามนั่นเอง


การปลูกนิยมปลูกในแปลงเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน หรือปลูกในกระถางเพื่อประดับอาคารบ้านเรือน ควรปลูกในดินร่วนซุย ที่มีความชื้นสูง ต้องการแสงรำไร หรือในบริเวณกลางแจ้งที่มีแสงแดดจัด ต้องการน้ำปานกลาง การดูแลรักษาค่อนข้างง่าย สามารถทนต่อโรคต่างๆ ได้ดี ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและการแยกหน่อ แต่วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือการแยกหน่อ

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

AuOvOm~วันพ่อนานาชาติ ตรงกับวันไหนบ้าง?

วันพ่อของแต่ละประเทศ
...ตรงกับวันที่เท่าไหร่บ้าง?...





19 มีนาคม โบลิเวีย ฮอนดูรัส อิตาลี ลิกเตนสไตน์ แอนโดรา โปรตุเกส สเปน
5 พฤษภาคม โรมาเนีย
8 พฤษภาคม เกาหลีใต้
วันอาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายน ลิทัวเนีย
5 มิถุนายน เดนมาร์ก
วันอาทิตย์ที่สองของเดือนมิถุนายน ออสเตรีย เบลเยี่ยม
วันอาทิตย์ที่สามของเดือนมิถุนายน อาร์เจนติน่า แอนทิกัว บาฮามัส บังกลาเทศ บัลแกเรีย แคนาดา ชิลี จีน

โคลอมเบีย คอสตา ริก้า คิวบา ไซปรัส สาธารณรัฐเชก เอกวาดอร์ ฝรั่งเศส กาห์นา กรีซ กายอาน่าฮ่องกง

ฮังการี อินเดีย ไอร์แลนด์ จาไมก้า ญี่ปุ่น มาเลเซีย มอลต้า มอริเชียส เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ ปากีสถาน

ปานามา ปารากวัย เปรู ฟิลิปปินส์ เปอร์โตริโก เซนท์ วินเซนต์ แอนด์ เกรนาดีนส์ สิงคโปร์ สโลวาเกีย

แอฟริกาใต้ ศรีลังกา สวิตเซอร์แลนด์ ทรินิแดด แอนด์ โทเบโก ตุรกี สหราชอาณาจักร ยูเครน สหรัฐอเมริกา

เวเนซูเอล่า ซิมบับเว บาร์เบโดส
17 มิถุนายน เอลเซวาดอร์ กัวเตมาลา
21 มิถุนายน ซีเรีย เลบานอน
23 มิถุนายน นิคารากัว โปแลนด์ อูกันดา
วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน ไฮติ
วันอาทิตย์ที่สองของเดือนกรกฎาคม อูรุกวัย
วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนกรกฏาคม สาธารณรัฐโดมินิกัน
วันอาทิตย์ที่สองของเดือนสิงหาคม บราซิล
8 สิงหาคม ไต้หวัน
วันอาทิตย์แรกของเดือนกันยายน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
วันอาทิตย์ที่สองของเดือนกันยายน ลัทเวีย
วันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม ลักเซมเบิร์ก
วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน เอสโทเนีย ฟินแลนด์ สวีเดน ไอซ์แลนด์


*5 ธันวาคม ประเทศไทย *





แต่ละประเทศ

เค้ามีประเพณีอะไรในวันพ่อบ้าง?




ประเทศอาร์เจนติน่า

วันพ่อของประเทศอาร์เจนติน่าจะเฉลิมฉลองกันในวันอาทิตย์ที่สามของเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่บิดาแห่งอาร์เจนติน่า "โจเซ่ เดอ ซาน มาร์ติน" ได้เป็นพ่อ

ไต้หวัน

ในไต้หวัน วันพ่อไม่ได้เป็นวันหยุดพิเศษ แต่หากลองสังเกตในวงกว้างแล้ว ในวันที่ 8 สิงหาคม ก็คือวันที่ 8 เดือน 8 ของปี ในภาษาจีนกลาง (แมนดาริน) เลข 8 จะออกเสียงว่า "ปา" ซึ่งเสียงนั้นก็จะไปพ้องกับคำว่า ปา ที่แปลว่า "พ่อ" (ปาป๊านั่นเองค่ะ) ดังนั้น ชาวไต้หวันจึงนิยมเรียกวันที่ 8 สิงหาคมว่า "ปาป๊า เดย์ (วันพ่อ)"

เยอรมนี

วันพ่อในเยอรมนีไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเหมือนกับวันพ่อในประเทศทางตะวันตกประเทศอื่น และที่นี่ไม่ได้เรียกวันพ่อว่าวันพ่อแต่มีคำอื่นที่มีความหมายเดียวกันใช้เรียกแทน

Vatertag มักนิยมเฉลิมฉลองกันใน Ascension Day (วันที่ 40 หลังวันอีสเตอร์ เป็นวันที่พระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์) และถือเป็นวันหยุดประจำชาติ บางทีก็เรียกกันว่า Men's day หรือ Gentlemen's day (Männertag,Herrentag) จะมีประเพณีที่ผู้ชายเท่านั้นต้องทำ คือ ประเพณีเข็นรถขึ้นภูเขา (จะคล้ายเข็นครกขึ้นภูเขาไหมน้อ?) และในรถจะบรรจุไวน์หรือเบียร์ (ขึ้นอยู่กับแต่ละท้องถิ่น)





วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

AuOvOm~ "สวรรคาลัย" อยู่ ณ แห่งหนใด

"สวรรคาลัย" อยู่ ณ แห่งหนใด



"ถึงเวลาส่งนางฟ้ากลับสวรรค์" ช่วงนี้สถานีวิทยุต่างก็เปิดเพลงนี้ตลอดทั้งวันเพื่อเป็นการถวายความอาลัยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งจะมีพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพในวันพรุ่งนี้ (เสาร์ที่ 15 พ.ย. 2551) แล้วนะคะ และหลายๆ ครั้งที่เรามักได้ยินคำว่า "ขอพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย" บางทีอาจจะมีคนกำลังสงสัยก็ได้ว่า "สวรรคาลัย" นั้น อยู่ที่ใด?





ความหมายของ "สวรรคาลัย" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นคำกริยา หมายถึง เสียชีวิต ซึ่งจะใช้แก่เจ้านายชั้นสูง นอกจากนี้แล้วคำๆ นี้ส่วนใหญ่จะใช้ในการแต่งกลอน ส่วนการใช้คำว่า "ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย" ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า"สวรรคาลัยเป็นสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใดแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ชื่อของชั้นของสวรรค์" ทั้งนี้หากแปลความหมายตรงๆหมายถึง "ส่งเสด็จไปสู่สวรรค์" นั่นเอง
สำหรับสวรรค์ในคติความเชื่อทางพุทธศาสนานั้น นายโอฬาร เพียรธรรม ผู้เขียนหนังสือ ตามหาความจริงวิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม และถอดกฎพบกรรม ได้ยกตำราในพระไตรปิฎกมาอธิบายโดยเรียงจากชั้นล่างสุด ประกอบด้วย






1.ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นนี้อยู่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด ประกอบด้วยเทวดาหลากหลายประเภท มีผู้ปกครอง 4 องค์ เรียก จตุโลกบาล โดยองค์แรกคือ ท้าวกุเวร หรือ เวสสุวรรณ อยู่ด้านทิศเหนือ ผู้ปกครององค์ที่ 2 คือ ท้าว วิฬุรหก อยู่ด้านทิศใต้ ผู้ปกครององค์ที่ 3 ชื่อ ท้าววิรูปักษ์ อยู่ทิศตะวันตก ผู้ปกครององค์ที่ 4 ชื่อ ท้าวธตรัฐ อยู่ทิศตะวันออก ปกครองพวก คนธรรพ์ รุกขเทวดา ภูมิเทวดา และ อากาสเทวดา สวรรค์ชั้นนี้ครอบคลุมตั้งแต่ พื้นโลกมนุษย์ขึ้นไปถึงระยะประมาณ 21,000 โยชน์ (คูณด้วย 16 จะออกมาเป็นกิโลเมตร )


2. ชั้นดาวดึงส์เป็นสวรรค์ชั้นที่คนไทยคุ้นชื่อมากที่สุด และมีการพรรณนาถึงความงดงามของสวรรค์ชั้นนี้กันมากมาย ในชั้นนี้ มีสมเด็จพระอมรินทราธิราช หรือ พระอินทร์ เป็นผู้ปกครอง มีสวนสวรรค์อยู่ 4 แห่ง ครอบคลุมทั้ง 4 ทิศ มีชื่อว่า นันทะ จิตรลดา สักกะ และ ผรุสกะ ส่วนที่ตั้งของชั้นดาวดึงส์ ก็อยู่สูงขึ้นไปจากโลก ประมาณ 42,000 โยชน์


3.ชั้นยามาเป็นสวรรค์ที่เพียบพร้อมด้วยความงาม และ ความสุข มากกว่าชั้นดาวดึงส์หลายเท่า ทิพยปราสาท เป็นเงิน และ ทอง มีรัศมีสว่างไสว กายทิพย์ของเทวดาเอง ก็มีรัศมีแผ่รอบกายเช่นกัน ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระสยามเทวาธิราช สำหรับสถานที่ตั้งก็อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกประมาณ 42,000 โยชน์


4.ชั้นดุสิตสวรรค์ชั้นนี้ ชั้นดุสิตสวรรค์ชั้นนี้ ก็มีความงดงามตระการตาเพิ่มขึ้น จากสวรรค์ชั้นยามาอีกมากมาย ที่สำคัญก็คือสวรรค์ชั้นนี้ เป็นสถานที่ ที่พระโพธิสัตว์ ผู้ตั้งใจบำเพ็ญบารมี เพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะมาเกิดที่นี่


5.ชั้นนิมมานรดี สวรรค์นี้มีความงดงาม ประณีต เหนือกว่าสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไปอีก ซึ่งยากจะบรรยาย โดยใช้ภาษาที่พวกเราใช้กันตามปกติ เทพในชั้นนี้ รัศมีเรืองรองสว่างไสว และความพิเศษ ของเทพในชั้นนี้ก็คือ สามารถเนรมิตเอาอะไรก็ได้ ตามแต่ใจปรารถนา ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระสุนิมมิตเทวาธิราช


6.ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในฝ่ายเทวโลก เป็นชั้นที่เทพผู้มาเกิด เสวยสุข ที่ละเอียดอ่อน ยิ่งกว่าชั้นอื่นใด อยากได้อะไร ก็จะมีเทพผู้เป็นบริวารมาคอยเนรมิตให้ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระปรนิมมิตวสวัตดีเทวาธิราช สถานที่ตั้งก็อยู่สูงขึ้นไปจาก สวรรค์ ชั้น นิมมานรดี อีกประมาณ 42,000 โยชน์







สวรรค์มีอยู่จริงหรือ?


ส่วนคำถามที่ว่ามีหลักฐานอะไรบ้างที่พอจะยืนยันได้ว่าสวรรค์มีจริงนั้น นายโอฬาร ได้เสนอเหตุผลดังนี้


1.ทุกศาสนา มีคำสอนเรื่องสวรรค์ทั้งนั้น รายละเอียดอาจแตกต่างกันไป ถ้าคิดว่าศาสดาทุกคนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีบารมีสูง รวมกันแล้ว ทำให้คนทั้งโลกเชื่อ มีศรัทธาได้ แล้วทำไม สวรรค์จะมีจริงไม่ได้


2.ชาวพุทธ ถ้าเชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า เชื่อกฎแห่งกรรมโดยลึกซึ้ง ก็จะต้องเชื่อการมีอยู่ ของ วัฏสงสารด้วย เพราะกฎแห่งกรรม ไม่สามารถทำงานครบถ้วน สมบูรณ์ ในชาติ (มนุษย์)เดียว ดังนั้น ชีวิตที่มีกายทิพย์อีก ๒๙ ภพภูมิ คือพวก นรก เปรต ผี เทวดา พรหม จึงต้องมีด้วย เพื่อรองรับการเวียนว่ายตายเกิด จากกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์แต่ละคนทำขึ้น


3.คนทั่วโลกไม่ว่าสมัยใด และนับถือศาสนาใด มีคนเคยเห็นผีมามากมาย ทั้งด้วยตัวเอง และการถ่ายภาพ (ที่เคยเห็นเทวดามีบ้างแต่น้อย) ถ้าผี คือชีวิตที่มีกายทิพย์ค่อนข้างหยาบ เกือบซ้อนกับภพมนุษย์มีจริง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เทวดา ซึ่งเป็นกายทิพย์ เช่นกัน แต่ละเอียด ประณีตกว่า จะมีจริงไม่ได้


4.ในทางวิทยาศาสตร์ แต่เดิมอะตอม คือสิ่งละเอียดที่สุด ต่อมาก็พบ นิวตรอน โปรตรอน อีเล็คตรอน และต่อมาก็พบ อนุภาคควอนตัม ที่เล็กกว่านั้นไปอีก ในปัจจุบัน มีทฤษฎี สตริง ที่กล่าวถึง อนุภาคพื้นฐานของจักรวาล ที่เล็กกว่า ควอนตั้ม อีก นับ ล้าน ล้าน ล้าน และอนุภาคละเอียดนี้ จะเกิดได้ในมิติอื่น ๆ นอกเหนือ 4 มิติ ที่เรารู้จักกัน (คำนวณว่าจักรวาล ต้องมี 10-26 มิติ จึงจะรองรับทฤษฎีนี้ได้) ทฤษฎีสตริงนี้ อาจนำไปสู่การพิสูจน์ การมีจริง ของชีวิตกายทิพย์ (หรือโอปปาติกะในพุทธศาสนา ที่อยู่คนละภพภูมิหรือคนละมิติ ถ้าใช้คำทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน)ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

AuOvOm~วันลอยกระทง





วันลอยกระทง


วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย






ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น

ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบอลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า "ยี่เป็ง" หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)
จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง
ภาคอีสานจะตบแต่งเรือแล้วประดับไฟ เป็นรูปต่างๆ เรียกว่า "ไหลเรือไฟ"
กรุงเทพฯ จะมี งานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว7-10วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง
ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา







ประวัติ


เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3
ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี
ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"

ลอยกระทง เป็นประเพณีของไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ งานลอยกระทงเริ่มทำตั้งแต่ กลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำจะเต็มสองฝั่งแม่น้ำ ที่นิยมมากคือ ช่วงวันเพ็ญเดือน 12 เพราะพระจันทร์เต็มดวง ทำให้แม่น้ำใสสะอาด แสงจันทร์ส่องเวลากลางคืน เป็นบรรยากาศที่สวยงาม เหมาะแก่การลอยกระทง เดิมพิธีลอยกระทงเรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียงชักโคม ลอยโคม ซึ่งเป็นพิธีของพราหมณ์ เพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ครั้นคนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนา ก็ทำพิธียกโคมเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณี ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลอยโคมบูชาพระพุทธบาท ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ประเทศอินเดีย
การลอยกระทงตามสายน้ำนี้ นางนพมาศ สนมเอกของพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย คิดทำกระทงรูปดอกบัว และรูปต่างๆถวาย พระร่วงทรงให้ลอยกระทงตามสายน้ำไหล ในหนังสือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระร่วงตรัสว่า "แต่นี่สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอย เป็นรูปดอกบัวอุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมฆทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน" ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีการทำกระทงขนาดใหญ่และสวยงาม ดังพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพาราชวงศ์ กล่าวไว้ว่า "ครั้นมาถึงเดือน 12 ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ แรมค่ำหนึ่งพิธีจองเปรียงนั้น เดิมได้โปรดให้ขอแรง พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน และข้าราชการที่มีกำลังพาหนะมาทำกระทงใหญ่ ผู้ถูกเกณฑ์ต่อเป็นถังบ้าง ทำเป็นแพหยวกบ้าง กว้าง 8 ศอกบ้าง 9 ศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอด 10 ศอก 11 ศอก ทำประกวดประขันกันต่างๆ ทำอย่างเขาพระสุเมรุทวีปทั้ง 4 บ้าง และทำเป็นกระจาดชั้นๆบ้าง วิจิตรไปด้วยเครื่องสด คนทำก็นับร้อย คิดในการลงทุนทำกระทงทั้งค่าเลี้ยงคนและพระช่าง เบ็ดเสร็จก็ถึง 20 ชั่งบ้าง ย่อมกว่า 20 ชั่งบ้าง" ปัจจุบันประเพณีลอยกระทง มีการจัดงานกันแทบทุกจังหวัด ถือเป็นงานประจำปีที่สำคัญ



ความเชื่อเกื่ยวกับวันลอยกระทง


เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพญามารได้


วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

AuOvOm~เทศกาลช็อกโกแลตและโกโก้

เทศกาลช็อกโกแลตและโกโก้


ใครต่อใครก็รู้ว่า "เทศกาลช็อกโกแลตและโกโก้" เป็นหนึ่งเทศกาลที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ไปเยือนกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แน่นอนด้วยเป็นฝรั่งเศสแฟชั่นชื่อดังของโลก จะมีเพียงช็อกโกแลตธรรมดาก็ผิดไปแล้ว ...





ด้วยไอเดียบรรเจิด ดีไซต์เนอร์เมืองน้ำหอมจึงมีความคิดในการรังสรรค์เสื้อผ้าแบบเก๋ๆ จากช็อกโกแลตมาอวดถึงจะสมความภาคภูมิกับการเป็นเมืองแฟชั่น




และก็ถือว่าแต่ละชุดก็ออกแบบได้อย่างสวยมีทั้งชุดเจ้าหญิงที่อลังการล้านเจ็ด ประหนึ่งว่าถ้าไม่มีการต่อเชื่อมช็อกโกแลตกันอย่างดีแล้ว รับรองถ้านางแบบกระดุกกระดิกเป็นหลุดหรือร่วงออกมาเป็นชิ้น ๆ แน่ หรือแม้แต่ช็อกโกแลตขาวก็รังสรรค์ชุดเก๋ ที่มีความพลิ้วไหวประหนึ่งทำจากผ้าซาตินเนื้อดี เนียบเนียนอย่างมาก ถ้าไม่สังเกตอย่างดี







ซึ่งแต่ละชุดก็ดีไซน์กันได้อย่างบรรเจิด เรียกร้องความสนใจจากผู้ชมได้อย่างมาก ทำเอาลืมกันไปเลยว่าแต่ละชุดนั้นทำจากช็อกโกแลตของโปรดของผู้คนทุกเพศทุกวัย และนอกจากชุดที่ดีไซน์ด้วยช็อกโกแลตแล้ว ภายในงานนี้ยังมีนิทรรศการและซุ้มบอกกล่าวเรื่องราวของช็อกโกแลตอย่างละเอียด พร้อมบอกให้รู้ว่านอกจากจะเป็นของหวานแสนอร่อยแล้ว ช็อกโกแลตยังมีประวัติศาสตร์มาอย่างเนิ่นนาน และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นขนมอันลือชื่อมาอย่างนานแสนนาน และเมื่อใดก็ตามที่นำช็อกโกแลตมาผสมกับแป้ง หรือส่วนประกอบอื่นๆ ความเข้มข้น ความอร่อย ก็ลอยมาติดจมูกกันทีเดียว




นอกจากนี้ในงานนิทรรศกาลยังให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเจ้าขนมรสเลิศนี้ว่า ช็อกโกแลตนอกจากจะกินได้แล้วยังสามารถนำมาทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย แม้กระทั่งการนำมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความสวยให้แก่ผู้หญิง หรือแม้แต่การนำมารังสรรค์เป็นชุดสวยๆ อย่างที่เห็นอีกด้วย





นี่จึงถือว่าเป็นหนึ่งไอเดียดี ๆ ในการสร้างสรรค์และผสมผสานศิลปะทั้งสองประเภทให้เข้ากันได้อย่างลงตัวและสวยงาม

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~Halloween


Halloween




วันฮาโลวีน (อังกฤษ: Halloween) เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน คนทั่วไ ปเในข้าใปจผิดกันว่าเป็นคืนวันที่ 31 ตุลาคม ประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น (jack-o'-lantern)
การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันใน
สหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน





ประวัติ


วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป



บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน 'All Souls' พวกเขาจะเดินร้องขอ 'ขนมสำหรับวิญญาณ' (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น



ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ 'ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก' แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว' Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้




ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?" เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด




วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~Cathédrale Notre-Dame de Reims



Cathédrale Notre-Dame de Reims






Notre-Dame de Reims est une cathédrale du XIIIe siècle, postérieure à Notre-Dame de Paris et Notre-Dame de Chartres, mais antérieure aux cathédrales Notre-Dame de Strasbourg, Notre-Dame d'Amiens et à celle de Beauvais.
Il s'agit de l'une des réalisations majeures de l'
art gothique en France, tant pour son architecture que pour sa statuaire. Elle est inscrite, à ce titre, au patrimoine mondial de l'UNESCO depuis 1991. Haut lieu du tourisme champenois, elle a accueilli 1 500 000 visiteurs en 2006 [1].
La cathédrale de Reims était, sous l'
Ancien Régime, le lieu du sacre des rois de France. Le dernier sacre, celui de Charles X, eut lieu le 29 mai 1825.






Historique




Une première cathédrale fut édifiée à Reims au Ve siècle par l' évêque saint Nicaise sur d'anciens thermes gallo-romains. Déjà dédiée à la Sainte Vierge, cet édifice accueillit le baptême de Clovis (496 ou 25 decembre 498 selon certains historiens) consacré par l'évêque saint Remi. En 816, le fils de Charlemagne, Louis Ier le Pieux choisit Reims pour y être sacré empereur. Le prestige de la sainte Ampoule et la puissance politique des archevêques de Reims aboutirent à partir d'Henri Ier (1027) à fixer définitivement le lieu du sacre à Reims.
Le
6 mai 1211, l'archevêque de Reims Aubry de Humbert lance la construction de la nouvelle cathédrale de Reims (l'édifice actuel), destinée à remplacer la cathédrale carolingienne détruite par un incendie l'année précédente. Quatre architectes se succédèrent (Jean d'Orbais, Jean-le-Loup, Gaucher de Reims et Bernard de Soissons) sur le chantier dont le gros œuvre fut achevé en 1275.
La cathédrale de Reims a été qualifiée de « cathédrale martyre » car, en
1914, peu après le début des hostilités, elle commença à être bombardée par les Allemands. Un échafaudage resté en place sur la tour nord prit feu, permettant à l'incendie de se communiquer à toute la charpente. Le plomb de la toiture fondit et se déversa par les gargouilles, détruisant la résidence des archevêques : le Palais du Tau. Les riverains le ramassèrent par la suite et le restituèrent à l'issue du conflit.
La cathédrale fut restaurée sous la direction d'
Henri Deneux, natif de Reims et architecte en chef des monuments historiques, avec l'aide précieuse de mécènes américains (notamment la famille Rockefeller). Le chantier débuta en 1919 et dure encore de nos jours.
La charpente de chêne, détruite, fut remplacée par une remarquable structure, plus légère et ininflammable, constituée de petits éléments préfabriqués en ciment-armé, reliés par des clavettes en chêne pour garantir la souplesse de l'ensemble. Deneux s'est inspiré d'un ingénieux système inventé par l'
architecte Philibert Delorme au XVIe siècle. Son faible encombrement a permis le dégagement d'un vaste espace, formant une véritable nef, au-dessus du voûtement.
De nos jours, les clochers ne possèdent plus que deux cloches : Marie (12 tonnes) et Charlotte (8 tonnes - à confirmer). Elles ne sont plus utilisées, de peur de continuer à fragiliser le bâtiment, fortement endommagé durant la
Première Guerre mondiale.







Description



Le nombre de statues qui l'ornent (2303) est supérieur à celui de toutes les autres cathédrales européennes, après Notre-Dame de Chartres. La façade intérieure est, elle-même, décorée de petites figures sculptées dont la célèbre « Communion du chevalier ». On peut observer notamment sur le portail gauche la statue de l'"Ange du sourire", emblème de la ville de Reims, et celle de la Reine de Saba restaurée en 2006 - 2007. L'édifice se distingue par une rare unité de style, malgré une construction qui s'étendit sur plus de deux cents ans (principalement au XIIIe siècle).
La hauteur de la nef sous
voûte est de 38 mètres, elle est donc bien inférieure à celle de la cathédrale Notre-Dame d'Amiens (42,30 m) ou de celle de Cathédrale de Beauvais (46,77 m). L'impression générale depuis l'extérieur est, comme pour toutes les églises gothiques, celle d'un grand élan vers le ciel. Les deux tours occidentales sont dépourvues de flèches mais culminent tout de même à près de 82 mètres de hauteur.
Le point le plus élevé est l'angle du clocher à l'ange situé au-dessus de l'abside à 87 mètres. L’orientation de la cathédrale est selon un axe Sud-Ouest Nord-Est. La cathédrale est donc orientée non pas vers l'orient, mais dans l’axe du
solstice d'été, le 21 juin lorsque le soleil se lève à l'apogée d’un cycle annuel. Angle Nord-Est bien connu pour être celui des inaugurations...entre autres. Début de nouveau cycle, renouveau de la vie. Il est intéressant de remarquer que le nord de la France présente un ensemble de cathédrales des XIIe et XIIIe siècles, toutes dédiées à Notre-Dame, dont la disposition rappelle celle des étoiles de la Constellation de la Vierge, telle qu’elle devait être au moment de la naissance de Jésus.
À 50 mètres du sol, sur la face occidentale, se trouve la "Galerie des rois" avec, au centre, le baptême de
Clovis. Plus bas, on peut observer le récit du combat de David contre Goliath et, juste au-dessus du grand portail, le couronnement de la Vierge.
Trois vitraux de
Marc Chagall de 1974 ornent l'édifice : l'arbre de Jessé, les deux testaments et les grandes heures de Reims.






วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~Les Halles



Les Halles








Les Halles (pronounced /le al/) (48°51′46″N 2°20′40″E / 48.86278, 2.34444) is an area of Paris, France, located in the 1er arrondissement. It is named for the large central wholesale marketplace, which was demolished in 1971, to be replaced with an underground modern shopping precinct, the Forum des Halles. It is notable in that the open air center area is below street level, like a pit, and contains sculpture, fountains, and mosaics, as well as museums including the Musée Grévin - Forum des Halles (a wax museum).
Beneath this lies the underground station
Châtelet-Les-Halles, central hub of Paris's express urban rail system, the RER.




History



Les Halles was the traditional central market of Paris. In 1183, King Philippe II Auguste enlarged the marketplace in Paris and built a shelter for the merchants, who came from all over to sell their wares. In the 1850s, the massive glass and iron buildings that Les Halles became known for were constructed. Les Halles was known as the "stomach of Paris".
Émile Zola's 1873 novel Le Ventre de Paris (The Belly of Paris) revolves around Les Halles.
Unable to compete in the new market economy and in need of massive repairs, the colorful ambience once associated with the bustling area of merchant stalls disappeared in 1971, when Les Halles was dismantled; the wholesale market was relocated to the suburb of
Rungis.
The site was to become the point of convergence of the
RER, a network of new express underground lines which was completed in the 1960s. Three lines leading out of the city to the south, east and west were to be extended and connected in a new underground station. For several years, the site of the markets was an enormous open pit, nicknamed "le trou des Halles" (trou = hole), regarded as an eyesore at the foot of the historic church of Saint-Eustache.
Construction was completed in 1977 on
Châtelet-Les-Halles, Paris's new urban railway hub. The Forum des Halles, a partially underground multiple storey commercial and shopping center, opened in 1979. The building was criticized for its design and, as of 2005, the city of Paris has undertaken consultations regarding the remodeling of the area.
A long-standing problem in the Halles area was
drug trafficking. Drug addicts and dealers would meet in the neighbourhood. For this reason, the area was reported unsafe at dark. However, the issue appears to have died down in recent years.










วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~Un parfum



Un parfum











Un parfum est une odeur ou plus souvent une composition odorante plus ou moins persistante naturellement émise par une plante, un animal, un champignon, un environnement.Dans la nature les parfums sont souvent des messages chimiques et biochimiques, et notamment des phéromones ou phytohormones.
Il peut aussi s'agir d'une substance naturelle (extrait d'une
fleur par exemple) ou créé ou recréé à partir de différents arômes, solvants et fixatifs destinés à un usage cosmétique ou à parfumer des objets, des animaux ou l'air intérieur. Il est alors généralement fabriqué à partir d'essences végétales et/ou de molécules synthétiques. L’usage de parfums par l'Homme est très ancien, remontant à la plus haute Antiquité.
La notion de parfum désigne aujourd'hui le plus souvent une composition olfactive particulière, fortement concentrée, proposée conditionnée et à forte concentration olfactive par différentes
marques de parfums (Guerlain, Chanel, Estée Lauder…) : on dit aussi extrait. La personne qui crée un parfum est appelé nez et cette activité est la parfumerie.Dans ce domaine (parfumerie/cosmétique), par abus de langage, « parfum » est aussi utilisé aujourd’hui pour désigner une eau de toilette, une eau de parfum ou une eau de Cologne.









Origine du mot parfum



Le mot parfum viendrait de l’expression per fume, qui signifie « par la fumée », probablement suite aux usages traditionnels et anciens de fumigations sacrées, médicinales ou rituelles (par exemple d'encens ou de différentes substances végétales).Le mot parfum est apparu tardivement dans la langue française (aucune mention avant 1528). Dérivé du verbe fumer, il a d’abord évoqué des substances odoriférantes qui se brûlaient avant de prendre son sens actuel au XVIIe siècle.









Les arômes et parfums dans la nature



Dans le monde animal, le système olfactif joue un rôle majeur chez de nombreux animaux, interagissant fortement avec la communication hormonale ; La reconnaissance entre espèces et individus (« mâle - femelle », « mère - petits »), les mécanismes de la reproduction et certaines interactions sociales (relations hiérarchiques et de dominance) en dépendent souvent.Dans le monde végétal, des molécules odorantes (attirantes et/ou repoussantes, phytohormones) jouent également un rôle majeur.En particulier des interactions écologiques fortes avec les pollinisateurs (abeilles, papillons, syrphes, etc.) sont en partie dépendantes des fragrances florales ; Le parfum floral et l'amertume et le caractère sucré du nectar - par un dosage équilibré des substances attirantes et repoussantes - garantissent aux plantes une reproduction optimale. La fragrance d'une fleur, notamment pour celles qui se font polliniser de nuit (chèvrefeuille par exemple) a un double rôle : attirer et guider les pollinisateurs qui sont récompensés par du nectar et du pollen. La plante émet aussi des composants qui rendent le nectar assez amer pour que l'insecte n'en prélève pas trop ou pour éloigner des consommateurs de nectar qui ne seraient pas aptes à féconder cette espèce.



La plante émet aussi des substances protectrices pour sa fleur et pour les organes de cette fleur (ce sont des composés insecticides et fongicides toxiques tels que la nicotine chez le tabac. On a ainsi montré que des plants de tabac sauvage (Nicotiana attenuata) génétiquement modifiés pour ne pas produire de nicotine et/ou de benzylacétone (parfum qui contribue à l'odeur du cacao, du jasmin et de la fraise) sont nettement moins bien fécondées et produisent jusqu'à 5 fois moins de graines.