วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~วิทยาศาสตร์ในวันคริสต์มาส



วิทยาศาสตร์ในวันคริสต์มาส




1. 25 ธ.ค. วันเกิดพระเยซู?เป็นที่รู้กันดีว่า พระเยซูประสูติเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม หรือ "วันคริสต์มาส"แต่นายเดฟ รีนีก นักดาราศาสตร์มือสมัครเล่นชาวออสเตรเลีย ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน คำนวณดูดวงดาวที่เกิดขึ้นในเมืองเบธเลเฮม เมื่อ 2008 ปีก่อน ตามที่ไบเบิ้ลระบุว่า ชาย 3 คนเดินตาม "ดาวต้นคริสต์มาส" จนพบพระเยซู รีนีก พบว่า มี "ดาวต้นคริสต์มาส" เกิดขึ้นใน 2 ปีก่อนคริสตกาลจริง แต่พระเยซูน่าจะประสูติในวันที่ 17 มิถุนายน ไม่ใช่วันที่ 25 ธันวาคมทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ดาวต้นคริสต์มาสคือดาวศุกร์และดาวพฤหัสที่โคจรเข้ามาใกล้กันมาก จนทำให้เกิดแสงสุกสกาวมากกว่าปกติ




2. "ดาวต้นคริสต์มาส"เจิดจ้ากลางฟ้า วิลเลียม เฮอร์เชล เป็นบุคคลแรกที่เห็นดาวต้นคริสต์มาส หลังจากที่ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1784 แสงของกลุ่มดาวเป็นประกายระยิบระยับคล้ายกับไฟประดับต้นคริสต์มาส และมีดาวที่สว่างที่สุดอยู่ด้านบน ส่วนปีนี้นักดาราศาสตร์ยุโรป นำภาพดาวต้นคริสต์มาสมาฝากกัน โดยใช้กล้อง "ไวด์ ฟีลด์ อิมเมจเจอร์ (WFI)" ที่หอดูดาวลาซิญญ่า ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูงในทะเลทรายอะตาคามา ประเทศชิลี ถ่ายรูปนี้ออกมา จะเห็นกลุ่มฝุ่นและก๊าซในอวกาศ หรือ "เนบิวลา" ที่มีชื่อว่า "NGC 2264" มีลักษณะเป็นทรงกรวย และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 2,600 ปีแสง รวมทั้งกลุ่มดาวภาพส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสีแดงนั้น เกิดจากลุ่มก๊าซขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงออกมาใต้แสงอัลตราไวโอเลตที่ออกมาจากดวงดาวที่มีอายุน้อยกว่า สำหรับดวงดาวที่มีสีอมน้ำเงิน เป็นเพราะเป็นดาวที่มีความร้อนกว่า อายุน้อยกว่าและมีความหนาแน่นกว่าพระอาทิตย์ของเรา




3. การ์ดคริสต์มาสกินได้ถ้าท้องยังไม่อิ่มในวันคริสต์มาส ผู้ที่มีการ์ดของบริษัทออกซิเจนครีเอทีฟ ก็สามารถเอาการ์ดมากินเป็นอาหารได้การ์ดจากฝีมือการออก แบบของ "สตีฟ ลอดจ์" นี้ทำมาจากแป้งมันฝรั่ง หมึกที่อยู่บนกระดาษก็เป็นหมึกที่กินได้ ส่วนภาพที่อยู่บนการ์ดเป็นรูปบรัสเซลล์สเปราส์ ที่คล้ายกับแขนงผักของบ้านเรา ถ้าจะเขียนคำอวยพรในการ์ด เขาก็มีปากกาที่บรรจุหมึกกินได้ วางขายคู่กันด้วย



4. เสียงเพลงคริสต์มาสโบราณรัสเซล บาร์นส์ คุณปู่ชาวอังกฤษวัย 79 ปี เปิดเผยว่า พบเสียงร้องเพลงคริสต์มาสของครอบครัวสมิธที่ร้องไว้เกือบ 100 ปีก่อนครอบครัวสมิธอาศัยอยู่ที่เมืองซาลิสบิวรี่ ร้องเพลงคริสต์มาสโดยบันทึกไว้ใน "โฟโนกราฟ ไซคลินเดอร์" หรือ "เครื่องเล่นกระบอกเสียง" ที่ทำมาจากขี้ผึ้ง สบู่ จำนวน 8 อัน ระหว่างค.ศ. 1913-1917 นอกจากเสียงร้องเพลงคริสต์มาสแล้ว ครอบครัวสมิธยังพูดคุยว่า "พ่อไปทำสงคราม" ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดี พร้อมยังอัดเสียงพูดคุยในครอบครัวในวันสำคัญต่างๆ เช่น วันอีสเตอร์ วันเกิดเสียงที่พบเป็นเสียงของคนราว 10 คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นเสียงของผู้ที่มีชื่อว่า อลิซ ทอม ฟีบี้ จอร์จ มาร์จี้ มีเสียงการอวยพรวันเกิดปีที่ 9 ของเด็กชายรอนนี่ ที่ได้รับของขวัญเป็นรถถีบ ผู้ที่เป็นพ่อน่าจะชื่อว่าแซมมวล บอกว่า วันนั้นเป็นวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1913"เครื่องเล่นกระบอกเสียง" มีความเปราะบาง จึงเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหาย แต่ราว 10 วันก่อน คุณปู่บาร์นส์ได้อัดเสียงร้องเพลงจาก "เครื่องเล่นกระบอกเสียง" มาไว้ในซีดี ด้วยการใช้เครื่อง "อาร์คีโอโฟน" ซึ่งประดิษฐ์โดย นายอองรี ชามูซ์ วิศวกรชาวฝรั่งเศส เพราะเครื่อง "อาร์คีโอโฟน" สามารถอัดเสียงร้องจาก "เครื่องเล่นกระบอกเสียง" มาไว้ในซีดี โดยไม่ทำให้ "เครื่องเล่นกระบอกเสียง" เสียหายเลย




5. "กวางเรนเดียร์"ตัวผู้หรือเมีย?กวางเรนเดียร์เป็นพาหนะของซานตาคลอส แล้วมันเป็นตัวผู้ ตัวเมียกี่ตัว?ดร.อลิซ บลู-แมกเลนดอน ผู้วชาญด้านสัตว์ป่าโดยเฉพาะกวาง จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส เอแอนด์เอ็ม สหรัฐอเมริกา มีความเห็นว่า กวางเรนเดียร์ของซานตาคลอสทุกตัวเป็นตัวเมีย เหตุที่เป็นเพศเมียก็เพราะ กวางตัวผู้จะสลัดเขาในช่วงคริสต์มาส แต่ตัวเมียจะเก็บเขาไว้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมแต่ ดร.เกร็ก ฟินสตัด หัวหน้าโครงการศึกษาเรนเดียร์ จากมหาวิทยาลัย อลาสกา แฟร์แบงค์ สหรัฐอเมริกา ค้านว่า เรนเดียร์ของซานตาคลอสอาจเป็นตัวผู้ที่เป็นหมัน หรือ เรียกว่า "สเตียร์" ที่จะคงเขาไว้จนถึงช่วงเวลาเดียวกับตัวเมียดร.ฟินสตัด ยังกล่าวต่อไปอีกว่า นักลากเลื่อนส่วนใหญ่ใช้ "สเตียร์" ในช่วงฤดู หนาว เพราะในช่วงฤดูหนาว ตัวเมียส่วนใหญ่จะตั้งท้อง เนื่องจากฤดูติดอยู่ในช่วงฤดูร้อนจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ไม่มีนักลากเลื่อนคนใดอยากใช้กวางท้องลากเลื่อนสำหรับกวางเรนเดียร์ของซานตาคลอสมีทั้งหมด 9 ตัว ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ "รูดอล์ฟ" กวางจมูกแดง ส่วนเพื่อนตัวอื่นๆ มี ดอนเนอร์ บลิตเซ่น คิวปิด แดชเชอร์ แดนเซอร์ แพรนเซอร์ คอมเม็ต และวิกเซ่น





6. ผู้ป่วยโรคหัวใจต้องระวังช่วงคริสต์มาสเป็นช่วงอันตรายสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ ทั้งหัวใจวาย หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจล้มเหลว โดยเฉพาะ "วันที่ 26 ธันวาคม" ถือเป็นวันที่อันตรายที่สุดเมื่อ 4 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก และมหาวิทยาลัยทัฟส์ สหรัฐอเมริกา ทำการศึกษาและพบว่า ช่วงคริสต์มาสมีผู้ป่วยหัวใจเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 5% และมีการเรียกช่วงนี้ว่า "โรคหลอดเลือดคริสต์มาส (Christmas coronaries)"แพทย์มีความเห็นว่า ก่อนคริสต์มาสผู้ป่วยไม่อยากไปหาหมอ โดยวันคริสต์มาสมีผู้ป่วยโรคหัวใจเข้ามารับการรักษาไม่มาก แต่ถัดจากนั้นเพียงวันเดียว คือวันที่ 26 ธันวาคม ผู้ป่วยกลับพุ่งขึ้นจนผิดหูผิดตาจากเศรษฐกิจที่ล้มระเนระนาดในปีนี้ อาจทำให้มีผู้ป่วยโรคหัวใจมาเข้ารับการรักษาในช่วงคริสต์มาสมากกว่าปีก่อนๆ นายแพทย์ซามิน ชาร์มา ผู้วชาญโรคหัวใจ จากโรงพยาบาลเมาต์ไซนาย เตือนว่า ผู้ป่วยหัวใจอย่าลืมตัวไปรับประทานอาหารที่มีเกลือสูง เพราะอาหารที่เค็ม การดื่มเหล้าเยอะ สามารถทำให้หัวใจวายได้ทั้งนั้นขณะที่คุณหมอและคุณพยาบาลแผนกฉุกเฉินและแผนกผู้ป่วยโรคหัวใจ ต้องเตรียมรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นให้ดี






7. "พอยเซ็ตเทีย"ต้นไม้ประจำคริสต์มาส ถ้าพูดถึง "ต้นพอยเซ็ตเทีย" เราส่วนใหญ่คงไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่า นี่คือ "ต้นคริสต์มาส" ที่ออกใบสีแดงสด คงร้องอ๋อกันเป็นแถวๆที่จริงแล้ว "พอยเซ็ตเทีย" หรือ "Euphorbia Pulcherrima" มีหลายสี ทั้งสีแดงซึ่งเป็นสีหลัก สีครีม สีขาว โดยสวนที่ปลูก "พอยเซ็ตเทีย" พยายามผสมสีใหม่ๆ มาวางตลาด ทั้งม่วงเข้ม ส้มอมชมพู แดงจุดขาว และผสมพันธุ์ให้มันอยู่ทนนานจนถึงช่วง "วันอีสเตอร์" คือประมาณเดือนมีนาคมถึงเมษายน"พอยเซ็ตเทีย" เป็นไม้กระถางลำดับ 2 ที่ชาวอังกฤษซื้อมากที่สุด มียอดซื้อปีละประมาณ 5 ล้านต้น รองมาจากกล้วยไม้ โดยเฉพาะช่วงคริสต์มาสยิ่งขายดี สีที่ชาวอังกฤษนิยมจะเป็นสีแดง ลำต้นค่อนข้างสูง ส่วนชาวยุโรปทางตอนกลางนิยมต้นที่เตี้ยลงมาเล็กน้อย ชาวสวีเดนชอบต้นเล็กๆ ชาวเยอรมันชอบสีสด ส่วนชาวฝรั่งเศสเป็นชาติเดียวที่นิยมซื้อ "พอยเซ็ตเทีย" ตลอดทั้งปีเหตุที่ "พอยเซ็ตเทีย" เป็นต้นไม้ประจำเทศกาลคริสต์มาส นอกจากต้นสน ต้นฮอลลี่ มีเรื่องเล่าว่า เมื่อราวศตวรรษที่ 16 ที่ประเทศเม็กซิโก เด็กหญิงคนหนึ่งยากจนมาก จนไม่สามารถซื้อของขวัญเพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู นางฟ้าจึงบอกเด็กหญิงนำวัชพืชมาปลูกตามทางเดินที่จะไปโบสถ์ ไม่นานวัชพืชกลับงอกงามกลายเป็นต้นไม้ที่มีดอกสีแดงสะพรั่งกระทั่งศตวรรษที่ 17 บาท หลวงจากนิกายคาธอลิกของเม็กซิ โก จึงพร้อมใจกันให้ "พอยเซ็ต เทีย" เป็นต้นไม้หนึ่งของเทศกาลคริสต์มาส ส่วนชาวอเมริกันนั้นชอบถึงขนาดให้วันที่ 12 ธันวาคมของทุกๆ ปี เป็น "วันพอยเซ็ตเทีย"







วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~ต้นกำเนิดวันปีใหม่


ต้นกำเนิดวันปีใหม่


มีเรื่องเล่ากันว่า จริงๆ แล้วในอดีต วันปีใหม่ไม่ใช่วันที่ 1 มกราคม หรอกนะคะ แต่เป็นวันที่ 1 มีนาคม ตามปฏิทินโบราณของชาวโรมัน โดยปฏิทินนี้จะมีแค่ 10 เดือน และเดือนมีนาคมจะเป็นเดือนแรกของปี เพราะปฏิทินจะนับตามการโคจรของดวงจันทร์ โดยเริ่มจากฤดูใบไม้ผลิ จนถึงสิ้นฤดูใบไม้ร่วง

สำหรับการเฉลิมฉลองปีใหม่เริ่มขึ้นครั้งแรกในยุคเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณสองพันปีที่แล้วประมาณช่วงกลางเดือนมีนาคม เรียกว่า vernal equinox ต่อมาชาวอียิปต์ เปอร์เซีย และเฟนีเชียนเริ่มเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ของพวกเขาในช่วงเวลา fall equinox น้องๆ คงสงสัยสินะคะว่า Equinox คืออะไร เราสามารถให้คำจำกัดความของ Equinox ได้ว่า คือ ช่วงเวลาที่กลางวันและกลางคืนเท่ากัน ซึ่งมักจะเกิดในช่วงวันที่ 21 มีนาคมและ 23 กันยายน ส่วนชาวกรีกจะเฉลิมฉลองตาม winter solstice หรือวันที่มีกลางวันสั้นที่สุด ทางซีกโลกเหนือ ซึ่งก็คือช่วง 22 ธ.ค. ถึง 5 ม.ค. นั่นเอง

มีตำนานเล่ากันว่าในยุคของ Numa Pompilius กษัตริย์องค์ที่ 2 ของโรมันก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการแบ่งเดือนใหม่ โดยเพิ่มเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์เข้าไป หากชาวโรมส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับ และยังเฉลิมฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 มีนาคมกันต่อไป

จนเมื่อถึงยุคสาธารณรัฐโรมัน ก็เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 1 ม.ค. เป็นครั้งแรกโดยจูเลียส ซีซาร์เมื่อ 46 ปีก่อนคริสตศักราช เพราะเดือนมกราคมนี้ตั้งชื่อตามชื่อเทพเจ้าจานุส (Janus) เทพกรีกที่คนโรมันนับถือบูชา พระองค์จึงต้องการให้เดือนนี้เป็นการเริ่มต้นวันขึ้นปีใหม่




ความเชื่อเกี่ยวกับเทศกาลปีใหม่ตามประเทศต่างๆ

เริ่มต้นด้วยประเทศในแถบยุโรปอย่างประเทศอังกฤษ ชาวอังกฤษจะมีความเชื่อว่า ผู้ชายคนแรกที่มาเยือนที่บ้านหลังจากเที่ยงคืนแล้วจะนำความโชคดีมาให้ โดยปกติแล้วชาวอังกฤษมักจะให้ของขวัญอย่างเช่น เงิน ขนมปังหรือก้อนถ่าน เพื่อเป็นการอวยพรให้ครอบครัวนั้นมีสิ่งของเหล่านั้นอย่างอุดมสมบูรณ์ตลอดปี ผู้ที่มาคนแรกนั้นจะต้องไม่ใช่คนผมบลอนด์ ผมสีแดง หรือเป็นผู้หญิง เพราะเชื่อว่าคนเหล่านี้จะนำความโชคร้ายมาให้

ส่วนที่ประเทศเดนมาร์ก เชื่อกันว่า ถ้าบ้านไหนมีเศษจานแตกกองสุมอยู่หน้าประตูบ้านเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าบ้านนั้นมีเพื่อนฝูงคบหาสมาคมมากมาย เพราะชาวเดนิชจะเก็บสะสมจานไว้ตลอดปี แล้วจะนำไปขว้างที่หน้าบ้านเพื่อนของพวกเขาในวันก่อนปีใหม่




มาต่อกันที่ประเทศในแถบอเมริกาใต้อย่างบราซิล ชาวบราซิลเชื่อว่า ซุปถั่วแขก (Lensil Soup) จะเป็นเครื่องแสดงความมั่งคั่ง ดังนั้นในวันแรกของปี ชาวบราซิลจะทำซุปถั่วแขกทานกัน หรือว่าจะทานถั่วแขกกับข้าว

ข้ามมาที่ประเทศในทวีปเอเชียกันบ้างนะคะ ที่ประเทศศรีลังกา จะเริ่มเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในวันที่ 13 หรือ 14 เมษายนตามปฏิทินของฮินดู ผู้คนที่นั่นจะทำความสะอาดบ้านช่องในช่วงก่อนถึงวันปีใหม่ บางบ้านอาจจะทาสีบ้านใหม่ หรือเตรียมทำของหวานหลายชนิดเพื่อรับประทานในวันปีใหม่ เพราะชาวศรีลังกาจะไม่ทำอาหารหรือจุดไฟในคืนก่อนวันปีใหม่ และพวกเขาจะทานข้าว pongal เป็นมื้อแรกของวันปีใหม่ ซึ่งเป็นอาหารที่ทำจากข้าว ผสมน้ำตาล และมะพร้าว มีรสชาติหวาน



สำหรับที่ประเทศญี่ปุ่น วันปีใหม่จะถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของครอบครัว ร้านรวงต่างๆ รวมไปถึงสำนักงานและโรงงานจะปิดทำการในวันนั้น ผู้คนมักจะไปไหว้พระขอพรตามวัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ เด็กๆ หรือวัยรุ่น ตามวัดต่างๆ เมื่อย่างเข้าวันปีใหม่ จะเริ่มตีระฆัง 108 ครั้ง เพื่อปลดปล่อยสิ่งชั่วร้ายทั้งหมด 108 อย่างจากปีก่อนให้หมดไป ซึ่งเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า โจยะโนะคาเนะ และเมื่อเริ่มปีใหม่ ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการหัวเราะจะเป็นการทำให้พวกเขาโชคดีในปีใหม่อีกด้วย




สวัสดีปีใหม่ ของแต่ละประเทศ

ฝรั่งเศส
Bonne année
บอน นันเน่


จีน
Xin nian yu kuai / Xin Nian Kuai Le
ซิน เหนียน หยู ไคว่/ซิน เหนียน ไคว่ เลอ

ญี่ปุ่น
Akemashite Omedetou Gozaimasu
อะเคมาชิเตะ โอเมเดโตโกไซมัส

เกาหลี
Sehe Bokmanee Bateuseyo
เซ เฮ บก มา นี พา ดือ เซ โย

เวียดนาม
Chuc mung nam moi
จุ๊ก หมึ่ง นัม เหมย


วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~PAI

PAI


Pai is a small community, embraced by rolling mountains and enveloped in natural setting that is fresh and beautiful. The atmosphere is clean, pure, quiet and warmly welcoming. The different ethnic groups, religious beliefs and languages of the people of plains and the people of the mountains have blended together here to form a unique set of cultural traditions.The citizens of Pai live their lives with a spirit of generosity and a sense of community, always ready to give someone a helping hand. Yet at the same time, the remoteness of the region makes travel to and from Pai difficult. Many people would rather not come and risk their chances in such an isolated place. However, many other people entrust their luck to fate in this very spot, and others dream of having just one chance in their lives to come and experience the summit of the north of Thailand.









Pai can be found to the northwest of Bangkok, 1035 kilometers along the main roads, at19.15 degrees - 19.30 degrees latitude north and at 98.15 degrees – 98.30 degrees longitude east. AT its lowest, Pai is 508 meters from sea level. The highest summit, Doi Jik Jong, which can be seen from Pai, is 1,972 meters from sea level. You can climb this mountain and experience the tropical forest and virgin jungle of the area.

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2551

AuOvOm~บอกรักพ่อด้วยดอกพุทธรักษา

บอกรักพ่อด้วยดอกพุทธรักษา




หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทำไมดอกพุทธรักษาจึงเป็นดอกไม่ประจำวันพ่อและมีความหมายว่าอย่างไร?



ตั้งแต่มีการกำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติขึ้นมาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 ก็ได้มีการกำหนดให้ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อขึ้นมาพร้อมกัน คงเพราะด้วยชื่ออันเป็นมงคลของคำว่า "พุทธรักษา" ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อจึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว










พุทธรักษา มีชื่อเรียกอื่นเช่น พุทธศร บัวละวงศ์ เป็นพืชในวงศ์ CANNACEAE ชื่อสามัญ Butsarana และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Canna indica เป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1–2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้นมีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 2–4 ซ.ม. ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูน โคนใบมีก้านใบยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10–15 ซ.ม. ยาวประมาณ 25–35 ซ.ม. ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 15–20 ซ.ม. ประกอบด้วยดอก 8–10 ดอก และมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสรรแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์




คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนามนั่นเอง


การปลูกนิยมปลูกในแปลงเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน หรือปลูกในกระถางเพื่อประดับอาคารบ้านเรือน ควรปลูกในดินร่วนซุย ที่มีความชื้นสูง ต้องการแสงรำไร หรือในบริเวณกลางแจ้งที่มีแสงแดดจัด ต้องการน้ำปานกลาง การดูแลรักษาค่อนข้างง่าย สามารถทนต่อโรคต่างๆ ได้ดี ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและการแยกหน่อ แต่วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือการแยกหน่อ