วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รู้ไหม...ทำไมคนเราถึงต้้องมีเพื่อน


เพื่อนบางครั้ง.....
ก็ไม่สามารถช่วยดึงเราขึ้นมาได้


แต่พวกเขาก็จะ....
คิดหาทางไม่ให้คุณตกลงไป

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันที่ 9 – 18 ธันวาคม 52 นี้จะมีการจัดกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 25

วันที่ 9 – 18 ธันวาคม 52 นี้จะมีการจัดกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 25







ครั้งแรกของประเทศลาว

กีฬาซีเกมส์ 2009 ในครั้งนี้ ถึงแม้จะถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 25 แต่ก็ถือเป็นครั้งแรกของประเทศลาวที่ได้เป็นเจ้าภาพ ซึ่งเป็นมหกรรมกีฬาที่พี่น้องชาวลาวภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้เป็นอย่างมาก การแข่งขันในครั้งนี้สนุกสนานแน่นอน เพราะมีประเทศเข้าร่วมการแข่งขันถึง 11 ประเทศ ได้แก่ บรูไน , กัมพูชา, อินโดนิเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย, ติมอร์ตะวันออก และเวียดนาม

เวียงจันทน์เกมส์ ได้แต่ใดมา


ชื่ออย่างเป็นทางการของมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2009 ในครั้งนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า “เวียงจันทน์ เกมส์” ซึ่งตั้งจากที่ตั้งของเมืองหลวงประเทศลาวนั้นก็คือ นครเวียงจันทน์นั้นเอง การเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ในครั้งนี้ ประเทศลาวได้รับสนับสนุน และแรงเชียร์จากหลายประเทศมากๆ ทั้งจากประเทศจีนที่สนับสนุนเงินกว่า 3 พันล้านบาทในการสร้างสนาม หรือจากประเทศไทยในการสนับสนุนอุปกรณ์กีฬาในการแข่งขัน




มาสคอต จำปา กับ จำปี

การแข่งขันในครั้งนี้มีสัตว์นำโชคที่น่ารักมากมาย โดยเป็นช้างเผือกงานิล 2 เชือก ตัวผู้ ชื่อ “จำปา” และตัวเมียชื่อ “จำปี” อีกทั้งยังมีคำขวัญที่สื่อถึงมิตรภาพของนักกีฬา คือ “ความมีน้ำใจ ไมตรีจิต ชีวิตสดชื่น”ที่เป็นภาษาลาว [ออกเสียงเป็นภาษาลาว หรืออีสานจะได้อรรถรสมากๆ ^_^]



สัญลักษณ์พระธาตุหลวง

สัญลักษณ์การแข่งขันเป็นรูป “พระธาตุหลวง” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของชาติ พระธาตุหลวง หรือพระเจดีย์โลกะจุฬามณี นับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งแห่งนครหลวงเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศ ตามตำนานกล่าวว่าพระธาตุหลวงมีประวัติการก่อสร้างนับพันปีเช่นเดียวกันพระธาตุพนมในประเทศไทย สถานที่นี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างของประเทศลาว ดังปรากฏว่าตราแผ่นดินของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีรูปพระธาตุหลวงเป็นภาพประธานในดวงตรา





สนามกีฬาการแข่งขัน อลังการ

รัฐบาลลาวได้ลงมือลงแรงก่อสร้างสนามกีฬาแห่งชาติแห่งใหม่ในชื่อว่า “สนามกีฬาซีเกมส์ 2009” ในกรุงเวียงจันทน์ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนเป็นเงิน 100 ล้านดอลล่าร์หรือ 3,400 ล้านบาท บริเวณชานกรุงเวียงจันทน์ซึ่งเป็นเนื้อที่เขตป่าเสื่อมโทรม เนื้อที่กว่า 300 ไร่ เพื่อเป็นสนามกีฬาหลัก ทั้งนี้สนามกีฬาแห่งชาติของลาวจะประกอบด้วยสนามกีฬากลางที่ใช้ในพิธีเปิดและ ปิดจุคนดูได้ 20,000 ที่นั่ง, สนามวอร์ม, อินดอร์สเตเดียม 2 หลัง, สระว่ายน้ำ, สนามเทนนิส, สนามยิงปืน





ภาษาลาววันละหลายๆ คำ [บ่เป็นหยั่ง แม่นบ่]

ดูเบื้องหน้า เบื้องหลังในการเป็นเจ้าภาพมหกรรมซีเกมส์ของประเทศลาวกันแล้ว พี่ลาเต้ ก็ขอทิ้งท้ายบทความนี้ด้วยศัพท์น่ารู้ๆ เกี่ยวกับภาษาลาว เผื่อน้องๆ ชาวเด็กดีมีโอกาสไปเชียร์กีฬาฯ จะได้ใช้กันถูกคร๊าบ.. เย้ เย้ ได้เวลาบ่าวน้อยลาเต้โชว์ภาษาถิ่นแล้ว





หากอยู่ที่ประเทศลาว เกิดปวดท้องขึ้นมา และต้องการหาห้องส้วม แนะนำว่าอย่าพูดว่า “ส้วม” เด็ดขาด เพราะที่นั้นจะหมายถึง “ห้องหอ” สำหรับบ่าวสาว แต่ให้พูดว่า “ไปนอก” แทน เพราะคำว่า “ไปนอก” ในภาษาไทยจะหมายถึง “ห้องน้ำ”


หากเชียร์กีฬาเสร็จเกิดกระหาย อยากทานน้ำสัก 1 แก้ว ให้รีบสั่งทันทีว่า “ขอน้ำ 1 จอก” เพราะขืนไปสั่งว่า “ขอน้ำ 1 แก้ว” จะได้น้ำมาเป็นขวดมาทันที เพราะภาษาลาวในการสั่งน้ำดื่ม คำว่า “แก้ว” จะหมายถึง “ขวด” ครับ อิอิ


เชียร์กีฬามาทั้งวัน เดินไปสนามโน่น สนามนี้ รองเท้าอาจจะพังได้ ทางที่ดีควรมีคู่สองสำรองไว้ แต่หากจะไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ต้องระวัง !! เพราะเมื่อน้องๆ ถามหา “รองเท้า” แต่อาจจะได้ “ถุงเท้า” มาแทน เพราะคนที่นั่นเรียก “รองเท้า” ว่า “เกิบ” ส่วนถุงเท้าเรียก “ลองเท้า”

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นมช็อกโกแลต ชะลอการอักเสบ!!



คือมีการศึกษาพบว่า "การดื่มนมไม่มีไขมันกับโกโก้ชนิดมีสารฟลาโวนอยด์สูง อาจช่วยลดการอักเสบ หรือ




อาการธาตุไฟกำเริบ ทำให้หลอดเลือดมีสุขภาพดี เสื่อมหรืออุดตันช้าลง" โดยคณะนักวิทยาศาสตร์จาก




บาร์เซโลนา สเปน ทำการศึกษาในอาสาสมัครอายุ 55 ปีขึ้นไป 47 คนที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจ แบ่งกลุ่ม




ตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ดื่มซองผงโกโก้ขนาด 20 กรัมกับนมไร้ไขมันวันละ 2 ครั้ง




















อีกกลุ่มหนึ่งให้ดื่มแต่นมไร้ไขมันเปล่าๆ ติดตามไป 1 เดือน แล้วสลับกลุ่มทดลองแบบไขว้กัน คือ ให้กลุ่มดื่ม


นมช็อกโกแลตไปดื่มนมเปล่า และกลุ่มดื่มนมเปล่าไปดื่มนมช็อกโกแลต ผลการศึกษาพบว่า "กลุ่มที่ดื่มนม


ช็อกโกแลตมีสารเคมีที่บ่งชี้การอักเสบ หรือธาตุไฟกำเริบน้อยกว่า แถมยังมีโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)


สูงขึ้นมากกว่าคนที่ดื่มนมเปล่า"

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตัวย่อภาษาอังกฤษน่ารู้






A
ASAP = As soon as possible = เร็วสุดเท่าที่เร็วได้


ATM = At the moment = ในตอนนี้ (ไม่ใช่ตู้ ATM นะ แต่ย่อเหมือนกัน)



B
BC = Because = เพราะว่า


BG = Big grin = (ยิ้มอยู่)


BOTOH = But on the other hand = แต่ในทางกลับกัน


BTDT = Bee n there, done that = ไปมาแล้วทำเรียบร้อยแล้ว


BTW = By the way = อย่างไรก็ตาม




C
COZ = Because = เพราะว่า


CU = See you = แล้วเจอกัน


CUL or CUL8R = See you later = แล้วเจอกัน




E
EZ = Easy = ง่าย




F
FAQ = Frequently asked questions = คำถามที่ถามบ่อย


FYI = For your information = แจ้งเพื่อรับทราบ




G
GJ = Good job = ทำได้ดีมาก!


GL = Good luck = โชคดีนะ


GRT = Great = เยี่ยม!


GW = Good work = ทำได้ดีมาก




H
HAND = Have a nice day = โชคดีนะ




I
IC = I see = เข้าใจล่ะ
IMO = In my opinion ฉันคิดว่า...


IMPOV = In my point of view = ฉันคิดว่า....


IOW = In other words = ถ้าจะพูดอีกอย่างก็..


IRL = In real life = ในชีวิตจริง




J
JIC = Just in case = เผื่อไว้


JTLYK = Just to let you know = แค่บอกให้รู้ไว้




K
KIS = Keep it simple = เอาง่ายๆ


KIT = Keep in touch = ติดต่อกันอีกนะ




L
LOL= Laughing out loud = หัวเราะ




N
NBD = No big deal = ไม่มีปัญหา เรื่องเล็กน้อย


NP = No problem = ไม่มีปัญหา


NVM = Never mind = ไม่เป็นไร




O
OMG = Oh my god = โอ้ พระเจ้า




P
PCM = Please call me = โทรมาหาที


PLS = Please = ได้โปรด


PLZ = Please = ได้โปรด




Q
Q = Question = คำถาม




S
SIT = Stay in touch = แล้วติดต่อกันใหม่


SOZ, SRY = Sorry = ขอโทษที


SYS = See you soon = แล้วพบกันใหม่




T
THX = Thanks = ขอบใจจ้า


TIA = Thanks in advance = ขอบคุณล่วงหน้า


TY = Thank you = ขอบคุณ




U
U = You = คุณ




W
WB = Welcome back = ขอต้อนรับกลับมา


WFM = Works for me = สำหรับฉันแล้วได้ผลนะ




X
XOXO = Hugs and kisses = รักนะจุ๊บๆ




Y
Y = Why = ทำไมหละ


YW = You are welcome ด้วยความยินดี






วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เครียดดดดดดดดดดด

สอบ GAT มา

สงสัยจะผิดเยอะ

เพราะเราไม่รอบครอบ

เข้าใจผิด*



แล้วเราจะแก้ทำไม


มันถูกอยู้แล้ววววววววววว




เครียดจ้า//////

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ 10 ประการพิชิต Admission

เคล็ดลับ 10 ประการพิชิต Admission



1. สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง: น้องๆ ต้องมองโลกในด้านบวกให้กับสิ่งที่น้องๆ ต้องการและตั้งใจแน่วแน่ในการกระทำเพราะข้อสอบไม่ว่าจะยากเท่าไหร่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม



2. ประเมิณความสามารถของตัวเอง: น้องๆ ต้องพิจารณาว่าคณะวิชาที่น้องเลือกนั้น น้องมีพื้นฐานความรู้ในวิชาที่จะใช้สอบมากน้อยเพียงใด การแข่งขันของคณะวิชานั้นสูงแค่ไหน และประเมินจากเวลาที่เหลือที่น้องๆ จะใช้ในการเตรียมตัวว่าพอเพียงหรือไม่



3. แบ่งเวลาในการดูหนังสือ และกิจกรรมต่างๆ ให้ลงตัว: เวลาผ่านไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้น้องๆ ต้องพยายามแบ่งเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสมโดยให้เวลากับอ่านหนังสือเป็นหลัก แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะผ่อนคลายโดยการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่น้องๆ ชอบด้วย



4. วางแผนจัดการชีวิตให้ลงตัว: ข้อนี้จะคล้ายกับการแบ่งเวลาแต่จะลงรายละเอียดเยอะกว่าโดยน้องๆ จะต้องวางแผนการดำเนินชีวิตในแต่ละวันว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในเป้าหมายที่น้องตั้งเอาไว้



5. เอาชนะตัวเอง: ข้อนี้เป็นข้อที่ยากที่สุด เพราะถ้าน้องๆ เอาชนะตัวเอง เอาชนะความเกียจคร้าน สร้างวินัยให้กับตนเอง สร้างกำลังใจให้กับตัวเองไม่ได้ น้องๆจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลย



6. ขจัดความกังวลออกไป: เมื่อน้องๆ เริ่มลงมือเตรียมตัวเพื่อสอบต้องตัดความกังวลที่มีอยู่ออกไปให้หมด อย่ากังวลถึงอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น อย่าคิดว่าทำไม่ได้ น้องๆต้องคิดว่าเมื่อมีความพยายาม ต้องมีความสำเร็จ



7. ทำตัวให้สนุกกับการอ่านหนังสือ: อย่ามองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ให้มองว่าเป็นเรื่องที่สนุกสนานทำให้เราประเทืองปัญญา ทำให้เราเป็นคนที่รอบรู้ สามารถเข้าสังคมได้อย่างไม่อายใครและเป็นที่ยอมรับในอนาคต




8. ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง: รางวัลในที่นี้คงไม่ได้หมายถึง เงินทอง เพชรพลอย แต่หมายถึงการทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย กิจกรรมที่ทำแล้วสบายใจ เช่นการร้องคาราโอเกะ ดูหนัง ฟังเพลง




9. สร้างสิ่งแวดล้อมให้เป็นแรงกระตุ้น: อาจจะทำได้โดยการรวมกลุ่มกันอ่านหนังสือกับเพื่อนๆ เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนความคิดและทบทวนในสิ่งที่เรากำลังอ่าน นอกจากจะทำให้เราอยากอ่านหนังสือแล้วยังทำให้เราประเมิณตัวเองได้อีกว่ายังต้องพยายามมากขึ้นอีกแค่ไหน




10. ให้โอกาสตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร: ทางเลือกในการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยมีอยู่มากมาย ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐบาล และเอกชนถึงน้องจะพลาดหวังจากทางเลือกนึงก็ยังที่ทางเลือกอื่น

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

4 'อย่า” เมื่อคุณจะนอน

'อย่า” เมื่อคุณจะนอน



• อย่าที่ 1 คือ อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ ก็เพราะขณะที่นาฬิกาเจ้ากรรมทำงานไปเรื่อยๆ นั้น เจ้านาฬิกาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย



• อย่าที่ 2 นี่ สำหรับพวกชอบคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับโดยเฉพาะเลย ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ใกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง




• อย่าที่ 3 ง่ายๆ สั้นๆ คือ อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ




• อย่าที่ 4 (สำหรับสาวๆ เท่านั้น) คือ อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง นักวิ ทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

วันเยาวชนแห่งชาติ





วันเยาวชนแห่งชาตินี้เกิดขึ้นจากการที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้ปี พ.ศ. 2528 เป็นปีเยาวชนสากลค่ะ เพื่อที่จะมุ่งเน้นให้เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15 - 25 ปี ตระหนักถึงความสำคัญของตนเองที่จะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต และสามารถช่วยสร้างเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
และที่สำคัญ วันที่ 20 กันยายน ยังเป็นวันมงคลอย่างยิ่ง เนื่องมาจากเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์สองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติในขณะที่ยังทรงพระเยาว์

จึงถือเป็นวันสิริมงคลที่เยาวชนควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์ ทางคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2528 กำหนดให้วันที่ 20 กันยายนของทุกปีเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ
วันเด็กยังมีคำขวัญประจำทุกปี วันเยาวชนแห่งชาติก็มีคำขวัญเช่นกันค่ะ โดยองค์การสหประชาชาติเค้าใช้คำขวัญว่า “Participation, Development and Peace” ซึ่งถอดความเป็นภาษาไทยว่า “ร่วมแรงแข็งขัน ช่วยกันพัฒนา ใฝ่หาสันติ” ซึ่งมีความหมายที่ดี และสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง


วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

10 มหาวิทยาลัยยอดนิยมจัดตามอันดับแล้ว โดยมหาวิทยาลัยมหิดลโพลเดือนส.ค. 2552 จากโรงเรียนมัธยมชั้นนำทุกภูมิภาคและกรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล


อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อันดับ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อันดับ 3 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

อันดับ 4 มหาวิทยาลัยมหิดล

อันดับ 5 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อันดับ 6 มหาวิทยาลัยศิลปากร

อันดับ 7 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

อันดับ 8 มหาวิทยาลัยขอนแก่น

อันดับ 9 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

อันดับ 10 มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด)


********************************5 คณะยอดนิยมของเยาวชนชาย คือ

คณะวิศวกรรมศาสตร์ 16.2%

คณะแพทย์ศาสตร์ 15%

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 8.4%

คณะนิติศาสตร์ 7.9%

คณะรัฐศาสตร์ 7.4%

ส่วนเยาวชนหญิงนั้น คือ

คณะอักษรศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ และคณะมนุษยศาสตร์ 20.4%

คณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และคณะสื่อสารมวลชน 17.3%

คณะบัญชี 7.6%

คณะรัฐศาสตร์ 5.2%

คณะพยาบาลศาสตร์ 4.6%

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

The Giant Cat Fish

Every year, at Hat Krai Village of the northernmost province of Chiang Rai between April and May, Thai and Laotian fishermen will be very busy casting their 250-metre long nylon net to catch the Gian Catfish in the Mekong River



The Giant Catfish is known in Thai as “Pla Buk”. This giant of freshwater and the King of Mekong River can grow up to 300 kilogrammes and 3 metre after 15 years. During this period of the year as it is the mating season the fish will migrate up the river to spawn. Unfortunately, on the way they become the victims of the deathtrap laid by the fishermen of the two countries.



In fact, before catching the fish, the Brahmin rituals must be held in order to please the Father-spirit of Pla Buk. It is believed ceremony. After performing the rituals, Thai and Laotian fishermen will build temporary bamboo shelter on their respective islands. After each crew has offered a chicken and local-made liquor to the guardian spirit of their boat, they then burn a special herb to drive away the evil ghosts from the net. Not the hunting begins.



The fishing rotation is decided by a draw. Everybody is waiting for his turn enthusiastically and immediately after a Thai team has gone, a Laotian boat is ready to push off.



It is said that the problem in its flesh is good for nourishing the brain much more than any other animal protein and it is also believed that whoever tastes the fish will have a long life and become clever. So its meat has become favourite and expensive dish served in leading restaurants in nearby province and also in Bangkok. Each season about 25-30 giant catfishes will be caught by fishermen of the two countries.



he fishing season also attracts a lot of attention from both local and foreign tourists who are enthusiastic to see the freshwater monster. Unless the fish faces extinction, the fishing season will be carried on from generation to generation of both countries.







ปลาบึก

ทุกๆ ปีระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ที่หมู่บ้านหาดไคร้ในจังหวัดเชียงรายซึ่งอยู่เหนือสุดของประเทศ ชาวประมงไทยและลาวจะยุ่งอยู่กับการวางอวนไนลอนที่มีความยาวถึง 250 เมตร เพื่อจับปลาบึกในลำน้ำโขง

The Giant Catfish นี้ภาษาไทยเรียกว่า “ปลาบึก” ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่และเป็นราชาแห่งลำน้ำโขง เพราะว่ามันสามารถเจริญเติบโตจนมีน้ำหนักถึง 300 กิโลกรัม และมีขนาดลำตัวยาวถึง 3 เมตร หลังจากอายุได้ 15 ปี ในช่วงระยะเวลานี้ของปีซึ่งเป็นฤดูวางไข่ ปลาบึกจะว่ายทวนน้ำขึ้นไปวางไข่ อนิจจา! ในระหว่างการเดินทางไปวางไข่นี้เองที่เจ้าแห่งลำน้ำโขงต้องมาสังเวยชีวิตให้กับชาวประมงทั้ง 2 ประเทศนี้

ที่จริงแล้วก่อนที่จะเริ่มจับปลานี้ จะต้องมีการจัดพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์เสียก่อน เพื่อเป็นการเอาใจเจ้าพ่อปลาบึก เป็นที่เชื่อกันว่า ตลอดฤดูกาลจับปลานี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับพิธีเริ่มนี้ด้วย หลังจากเสร็จพิธีกรรมแล้วชาวประมงไทยและลาวก็จะทำการสร้างที่พักชั่วคราวด้วยไม้ไผ่บนฝั่งในประเทศของตน และหลังจากที่ลูกเรือแต่ละคนได้เซ่นไหว้ด้วยไก่และเหล้าขาวต่อแม่ย่านางประจำเรือของตนแล้ว พวกเขาก็จะเผาสมุนไพรชนิดหนึ่งเพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้ายให้ออกไปจากอวน และนับจากนี้ไปการไล่ล่าก็จะเริ่มขึ้น

การจับปลาก็จะหมุนเวียนกันในแต่ละทีมของแต่ละประเทศทั้ง 2 โดยการจับฉลาก ทุกคนต่างก็รอให้ถึงรอบของตนอย่างกระตือรือร้นและทันทีที่ทีมไทยบ่ายหน้าออกไป เรือของฝ่ายลาวก็เตรียมพร้อมที่จะทะยานออกไปทันทีที่ถึงรอบของตน

กล่าวกันว่าโปรตีนที่ได้จากเนื้อของปลาบึกนี้เป็นอาหารบำรุงสมองได้ดีกว่าโปรตีนที่ได้จากสัตว์อื่นๆ และยังเชื่อกันอีกว่าใครก็ตามที่ได้ลิ้มรสของปลานี้แล้วจะทำให้อายุยืนและชาญฉลาด ดังนั้นปลาบึกจึงดูเหมือนว่าจะกลายเป็นอาหารจานโปรดและค่อนข้างแพง ซึ่งมีบริการในภัตตาคารทั้งในจังหวัดใกล้เคียงและกรุงเทพมหานคร แต่ละช่วงฤดูกาลชาวประมงของทั้ง 2 ประเทศ สามารถจับปลาบึกได้ประมาณ 25-30 ตัว

นอกจากนี้ฤดูกาลจับปลาบึกยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศผู้ซึ่งกระตือรือร้นที่จะดูเจ้าสัตว์ประหลาดน้ำจืดนี้อีกด้วย ตราบใดที่ปลาบึกยังไม่สูญพันธุ์ ฤดูกาลไล่ล่าก็จะยังคงมีการสืบทอดกันต่อๆ ไป โดยอนุชนรุ่นหลังของทั้ง 2 ประเทศ

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บท กลอนของเด็กอัฟริกัน ผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจาก UN ***

When I born, I black : เมื่อผมเกิด ผมผิว ดำ
When I grow up, I black : เมื่อผมโต ขึ้น ผมก็ยังผิวดำอยู่
When I go in Sun, I black : เมื่อผมอยู่ ใต้แสงแดด ผมก็คงยังผิวดำ
When I scared, I black : เมื่อผมกลัว ผม ก็ผิวดำ
When I sick, I black : เมื่อผมป่วย ผมก็ ยังผิวดำ
And when I die, I still black : และ เมื่อผมตาย ผมก็ยังคงผิวดำ
And you white fellow : และ คุณ...เพื่อนมนุษย์ผิวขาว
When you born, you pink : เมื่อแรกเกิด คุณมีผิวสีชมพู
When you grow up, you white : เมื่อคุณ โตขึ้น คุณมีผิวสีขาว
When you go in sun, you red : เมื่อคุณ อยู่ใต้แสงแดด คุณมีผิวสีแดง
When you cold, you blue : เมื่อคุณหนาว คุณมีผิวสีน้ำเงิน
When you scared, you yellow : เมื่อคุณกลัว คุณมีผิวสีเหลือง
When you sick, you green : เมื่อคุณป่วย คุณมีผิวสีเขียว
And when you die, you grey : เมื่อคุณตาย คุณมีผิวสีเทา
And you calling me colored?? : และคุณเรียกผมว่า คนผิวสี ??

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เทคนิค การจำศัพท์ภาษาอังกฤษ ให้ขึ้นใจ


จัดศัพท์เป็นหมวดหมู่ เช่น คำที่มีความสัมพันธ์กัน หรือมีความหมายตรงข้ามกัน จะช่วยให้จำศัพท์ได้ง่ายขึ้น อาจจดบันทึกใส่สมุดที่พกพาได้ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องหยิบมาท่องในเวลาว่าง

นำศัพท์มาใช้บ่อย ๆ ทำให้เกิดความเคยชิน จะจำได้แม่นยำขึ้น จากนั้นลองแต่งประโยคจากคำเหล่านั้น เพื่อฝึกการเรียบเรียงประโยค

จำศัพท์จากการออกเสียง อาทิ คำที่ออกเสียงคล้าย ๆ กัน นอกจากจะช่วยให้นึกถึงความหมายได้ง่ายแล้ว ยังได้รู้หลักการออกเสียงที่ถูกต้อง

ท่องศัพท์ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 10 คำ และหมั่นทบทวนบ่อย ๆ ให้คุ้นเคย หากมีโอกาสสนทนากับคนพูดภาษาอังกฤษ ควรลองนำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์จริง ฝึกฟัง-อ่านภาษาอังกฤษจากข่าวหรือหนังสือต่าง ๆ
แล้วสังเกตหาศัพท์ที่เคยท่อง จะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวโดยรวมของเรื่องที่อ่านได้เร็วขึ้น

อย่าลืม เจอฝรั่ง เข้าไปทักทายบ่อยๆ ก็เป็นการฝึกภาษาอังกฤษอีกแบบ :)

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความจริงของ "กำแพงเมืองจีน" ที่เราอาจไม่รู้


ความจริงของ "กำแพงเมืองจีน" ที่เราอาจไม่รู้




กำแพงเมืองจีน (จีนตัวเต็ม: 長城; จีนตัวย่อ: 长城; พินอิน: Chángchéng ฉางเฉิง) กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นกว่า 2000 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิ์องค์แรกในประวัติศาสตร์จีน จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือ โดยมีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยกษัตริย์องค์ต่อมาอีกหลายพระองค์ จนสำเร็จในที่สุด กำแพงเมืองจีนถือเป็นงานก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่าที่เคยมีมา





มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนที่หลายๆ คนยังไม่เคยทราบมาก่อน
1. เราไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากดวงจันทร์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยมนษย์ แม้แต่อย่างเดียวที่สามารถมองเห็นจากดวงจันทร์ ในระดับ low Earth orbit เราสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนโดยใช้ radar การมองเห็นกำแพงเมืองจีนเป็นไปได้ยากเนื่องจาก สีของกำแพงเมืองจีนจะกลืนไปกับสีของธรรมชาติ ก็คือสีของดิน หิน




2. กำแพงเมืองจีนไม่ไช่กำแพงยาวตลอด ความจริงแล้วกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นในหลายยุคหลายสมัยกินเวลานับพันปี โดยเป็นการเชื่อมต่อกำแพงแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน จนเป็นแนวทอดยาวหลายพันกิโลเมตร




3. กำแพงเมืองจีนเป็นเสมือนสุสานของผู้ก่อสร้าง มีการบันทึกไว้ไว่า นักโทษจากสงครามและทาสกว่า 1 ล้านคนถูกใช้เป็นแรงงงานเพื่อก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ซึ่งจำนวนมากเสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย และความหิวโหย ซึ่งศพผู้เสียชีวิตก็จะถูกฝังอยู่ข้างใต้กำแพงนั่นเอง นานนับศตวรรษแล้ว ที่กำแพงเมืองจีนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่าทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนก็คือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพง









4. ความยาวของกำแพงเมืองจีน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริงของกำแพงเมืองจีน ในภาษาจีน จะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า "กำแพงยาวหมื่นลี้" (หนึ่งลี้มีความยาวประมาณ 1/3 ไมล์) โดยคร่าวๆ กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 4 พันไมล์ หรือ 6,350 กิโลเมตร ทอดผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขาสูง ความสูงของกำแพงคือ 7 เมตร และกว้าง 5 เมตร




5. การก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ช่วยป้องกันการรุกรานได้หรือไม่ การเข้าครองอำนาจของมองโกล และแมนจู ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นจากความอ่อนแอ ของราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีนในขณะนั้นๆ พวกเขาใช้โอกาสในขณะที่เกิดกบฎภายใน เข้ายึดครองประเทศจีน โดยมีการต่อต้านที่น้อยมาก






6. กำแพงเมืองจีนไม่ได้เป็นแค่กำแพง ทุกๆ300ถึง 500 หลา จะมีฐานบัญชาการเพื่อใช้สับเปลี่ยนเวรยามและใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ีนี้้ยังมีหอสังเกตการณ์กว่า 1 หมื่นแห่ง




7. กำแพงเมืองจีนเป็นเส้นทางคมนาคม ในระยะแรก ประโยชน์ของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันช่วยให้การคมนาคมและขนส่งในเส้นทางทุรกันดาร เช่นตามเทือกเขาเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขี้น




8. กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นโดยใช้อะไรเป็นส่วนประกอบ ก่อนที่จะมีการใช้อิฐในการก่อสร้าง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้น โดยใช้หิน ดิน และไม้ บางครั้งมีการแพ็คดินไว้ระหว่างไม้แผ่นใหญ่ และมัดไว้ด้วยกันโดยเสื่อทอ บริเวณใกล้กรุงปักกิ่ง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างโดยใช้หินอ่อน ในบางสถานที่กำแพงถูกสร้างโดยใช้หินแกรนิต บางแห่งก็ใช้ดินเผา ทางตะวันตกของจีน กำแพงถูกสร้างโดยใช้โคลน ทำให้ชำรุดได้ง่ายกว่ากำแพงเมืองจีนที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิง โดยใช้วัตถุที่ทนทานกว่าเช่นหิน







9. สภาพของกำแพงเมืองจีนในขณะนี้ รายงานผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปี 2004 กล่าวว่า ขณะนี้ กำแพงเมืองจีนที่ยาว 6,350 กิโลเมตร เหลือให้เห็นเพียง 1/3 เท่านั้น และกำลังสั้นลงเรื่อยๆ ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดการดูแลและอนุรักษ์ โดยเฉพาะจากชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีน ไม่สนใจ ประกาศของรัฐบาลที่กำหนดให้กำแพงเมืองจีนเป็นสมบัติของชาติ









วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิถีการกินของชาวสเปน ที่มีเอกลักษณ์แถมอร่อยซะจริงๆ





Topic วันนี้จะเป็นเรื่อง "วัฒนธรรมการกินของชาวสเปน" ซึ่งเพื่อนสาวคนนี้ได้ไปเป็น นักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ที่แคว้น Catalunya (กาตาลูญา) เมือง Barcelona (บาร์เซโลน่า) แต่เท่าที่ฟังคนอื่นเล่าก็ปรากฏว่า เมืองอื่นๆ ก็มีวัฒนธรรมการกินแบบนี้เหมือนกัน




- โดยในตอนเช้า ช่วงเวลาก่อนไปเรียนหนังสือหรือออกไปทำงาน ชาวสเปนมักจะทานอะไรที่สะดวก ง่ายๆ เช่น ถ้าเป็นผู้ใหญ่ จะทานกาแฟ น้ำผลไม้กับขนมปังครัวซองต์ แต่ถ้าเป็นเด็ก จะทานนมกับคอนเฟลกซ์หรือขนมปัง จะเห็นได้ว่า มักทานอะไรกันที่เบาๆ ไม่หนักมาก การทานอาหารมื้อหนักๆ ในช่วงเช้าจะไม่มีให้เห็นเลย




- ในตอนกลางวัน มื้อกลางวันของชาวสเปนจะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 14.00 - 15.00 (ช้ามากมาย หิวบรมหิว) ซึ่งในมื้อนี้จะเป็นอาหารที่ทานหนักและมากที่สุดของชาวสเปน ถ้าเป็นตามโรงเรียนต่างๆ เวลา 11.00 จะอนุญาตให้นักเรียนพักทานแซนวิชที่เตรียมมาจากบ้านเป็นการรองท้อง (ไม่งั้นท้องร้องกันสนั่น) และจากนั้น ทางโรงเรียนจะอนุญาตให้นักเรียนกลับบ้านไปทานอาหารกลางวันกันที่บ้าน และจะกลับมาเรียนอีกทีในช่วงเวลา 15.30 - 17.00 แต่สำหรับเด็กที่บ้านอยู่ไกลโรงเรียน ทางโรงเรียนก็จะมีบริการจัดอาหารกลางวันให้ทานกันที่โรงเรียน ซึ่งอาหารกลางวันนั้นจะเน้นเนื้อสัตว์ และแป้ง (จำพวกข้าว เส้นพาสต้า มันฝรั่ง)




- มื้อเย็น จะทานกันในช่วงเวลา 20.00 - 21.00 (ช้ามากๆ) ซึ่งการทานในมื้อเย็นจะไม่หนักเท่ามื้อกลางวัน แต่จะใช้เวลาทานค่อนข้างนาน เนื่องจากเป็นมื้อที่สมาชิกในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ซึ่งมักจะทานกันไปเรื่อยๆ จนถึง 22.00 อาหารที่ทานก็จะเป็นอาหารเบาๆ เช่น ซุปต่างๆ ไข่เจียว โดยจะทานเคียงกับขนมปังเป็นหลัก ซึ่งหลังจากทานเสร็จนั้น ก็จะเข้านอนกันทันที










มาดูอาหารประจำชาติสเปนบ้างดีกว่า



1. ข้าวผัดสเปน (Paella)เป็นอาหารสเปนชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนข้าวผัดบ้านเรา แต่วิธีทำจะซับซ้อนและยุ่งยากกว่ามาก จะผัดโดยใส่อาหารทะเลต่างๆ หรือว่าไก่ หมูก็ได้แล้วแต่สะดวก แต่ส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ Saffron (หญ้าฝรั่น) ที่จะให้กลิ่นหอมเฉพาะ โดยทั่วไปจะทำอาหารชนิดนี้เฉพาะเวลามีโอกาสสำคัญเท่านั้น



2. ไข่เจียวสเปน (La Tortilla de Patatas)ไข่เจียวสเปน คือไข่เจียวที่ใส่มันฝรั่งและหอมหัวใหญ่บดนั่นเอง โดยเมื่อทำเสร็จจะมีความหนาประมาณครึ่งนิ้ว หน้าตาคล้ายๆ ขนมเค้กมันฝรั่งทอด ซึ่งจะทานเคียงกับขนมปังราดน้ำมันมะกอก




3. แฮมเค็ม (Jamón Serrano หรือ Jamón Iberico) เป็นแฮมสดที่ตัดเอาส่วนขาของหมู พอกเกลือ แล้วนำไปแขวนไว้ในถ้ำหรือโรงนาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นนำออกขายทั้งขาหรือแล่เป็นแผ่นๆ ทานเคียงกับขนมปังราดน้ำมันมะกอก โดยถ้าเป็น Jamón Iberico จะทำมาจากหมูดำ ซึ่งมีราคาแพงกว่า Jamón Serrano




วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันชาติสหรัฐอเมริกา




วันชาติสหรัฐอเมริกา



4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319 วันชาติสหรัฐอเมริกา (Independence Day) โดยอาณานิคมของสหราชอาณาจักร 13 แห่งในดินแดนอเมริกาได้ออก "คำประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักร" (Declaration of Independence) ต่ออังกฤษ ก่อให้เกิดประเทศใหม่ชื่อว่า "สหรัฐอเมริกา" (United State of America) ขึ้น ผู้ร่างคำประกาศดังกล่าวคือ โธมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของประเทศ คำประกาศดังกล่าวได้กลายเป็นพื้นฐานระบอบประชาธิปไตยของประเทศนี้
ดินแดนแถบนี้ได้มีชาวอเมริกันพื้นเมือง หรือ "อินเดียนแดง" (Indian) อพยพมาจากทวีปเอเชียเมื่อกว่า 25,000 ปีมาแล้ว จากนั้น นักสำรวจชาวสเปนได้เดินเรือมาสำรวจทางภาคใต้และตะวันตกเมื่อต้นศตวรรษที่ 16 ในปี 2150 ชาวอังกฤษกลุ่มแรกได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เมือง เจมส์ทาวน์ (Jamestown) จากนั้นชาวยุโรปกลุ่มอื่น ๆ ได้อพยพตามเข้ามาพร้อมกับนำทาสผิวดำจากแอฟริกาเข้ามาด้วย แล้วขยายออกไปทางด้านตะวันตกอย่างรวดเร็ว โดยการขับไล่ชาวอินเดียนแดงให้ถอยร่นออกไป หลังจากประกาศอิสรภาพแล้วก็ได้เกิด สงครามกลางเมือง (American Civil War) ขึ้นในปี 2319-2326 ระหว่างรัฐฝ่ายใต้ทั้ง 13 รัฐที่ต้องการเอกราช กับ 21 รัฐฝ่ายเหนือที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ หลังจากชัยชนะของฝ่ายใต้ อังกฤษจึงยอมรับประเทศใหม่นี้ จากนั้นสหรัฐอเมริกาก็แผ่ขยายอาณาเขตของตนเองจนมีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงกว่า 4 เท่าตัว ประกาศรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2330 ซึ่งยังคงใช้มาจนปัจจุบัน เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีอำนาจทางการเงินและการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบัน ประเทศสหรัฐอเมริกามีพื้นที่ทั้งหมด 9,631,418 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากรัสเซีย แคนาดา และจีน เมืองหลวงคือวอชิงตัน, ดี.ซี. (Warshing, D.C.) มีพื้นที่ทั้งหมด 9,631,418 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยมลรัฐ (State) 50 มลรัฐ แต่ละรัฐจะรับผิดชอบในการออกกฎหมายของตนเอง ปกครองในรูปแบบ สหพันธรัฐ (Federal Republic) ปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสรี โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ มีประชากรทั้งหมดประมาณ 300 ล้านคน (พ.ศ. 2550) ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ หน่วยเงินตราดอลลาร์สหรัฐ (USD หรือ $ )

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กินยังไงไม่ให้ง่วงหลังมื้อเที่ยง




... "อาหารเที่ยง" ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อาหารมื้อแรกของวัน แต่เราก็ให้ความสำคัญกับอาหารมื้อเที่ยงกันไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะคะ แน่นอนล่ะค่ะว่าพอถึงเวลาอาหารเที่ยงปุ๊บ ส่วนใหญ่เราก็จะต้องรีบไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน แถมบางครั้งไม่ใช่แค่กินอาหารหนักอย่างเดียวนะคะ ยังหาขนมจุกจิกกินอีกตั้งหาก \(^v^)/
และหลังจากที่อิ่มแปล้จากมื้อเที่ยงแล้วเราก็จะต้องเผชิญกับอาการ "หนังท้องตึง หนังตาหย่อน" ... ความรู้สึกขี้เกียจ เซื่องซึม สลบไสล เฉี่อยชา ก็เข้ามาเยือน ทำเอาหลายคนอย่างจะเล่นเกมซ่อนตาดำกันเลยทีเดียว





>..< กินอาหารเช้าภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังจากตื่นนอน ที่ต้องทำอย่างนั้นก็เพราะว่าอาหารเช้าที่ดีจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความสมดุลไปตลอดวัน แถมด้วยอาหารประเภทโปรตีนไขมันต่ำ (เช่น ไข่ นมสักแก้ว โยเกิร์ต กับขนมปังธัญพืชปิ้งสักแผ่น) ปริมาณเล็กน้อยในตอนเช้า และทุกมื้อระหว่างวัน เพราะจะให้พลังงานได้ยาวนานค่ะ
>..< กินอาหารเที่ยงให้พลังงานสูง เป็นอาหารที่ประกอบด้วยโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งโปรตีนจะกระตุ้นสารในสมองคือ catecholamines ที่จะทำให้น้องๆ กระฉับกระเฉง ลองเลือกอาหารประเภทไก่ (ต้องทำให้สุกๆ ก่อนนะคะ -*-) อาหารทะเล เนื้อ เต้าหู้ ถั่วต่างๆ ผักต่างๆ และควรกินผลไม้เป็นอาหารเสริมด้วยนะคะ
>..< เลี่ยงสารกระตุ้นต่างๆ เช่น คาเฟอีน บุหรี่ เพราะเป็นตัวทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแกว่งไกว แถมการดื่มกาแฟยังทำให้น้องๆ ปวดชิ้งฉ่องบ่อยๆ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ร่างกายสูญเสียน้ำและระดับเกลือแร่อีกด้วยล่ะค่ะ
>..< ดื่มน้ำเปล่า เพราะน้ำเปล่าไม่มีแคลอรี ไม่มีไขมัน ไม่มีโคเลสเตอรอล แต่จะช่วยระบบการเผาผลาญไขมันและฟื้นชีวิตชีวาคืนพลังงานให้กับร่างกายด้วย นอกจากนี้น้ำยังช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ลำเลียงออกซิเจน ฮอร์โมน สารอาหาร ภูมิต้านทาน และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรตีนและเอนไซม์ที่จำเป็นต่ำระบบเมตาบอลิซึมด้วย
>..< ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ เพราะนอกจากจะเป็นอบายมุขแล้วยังทำให้รู้สึกเซื่องซึม ด้วยเหตุผลมาจากการที่ร่างกายสูญเสียสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินบี (ไธอามีนและโพเลท) ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นที่สมองต้องการ
>..< เลือกกินเมื่อรู้สึกหิวเท่านั้น ถ้าน้องๆ รู้สึกเพลียให้กินผลไม้หรืออาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชต่างๆ แทน การกินของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาลจะทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยเพียงชั่ววูบแล้วก็จะหมดแรงลงอย่างรวดเร็วค่ะ








>..< หลับตาสักงีบ ถ้าน้องๆ รู้สึกง่วงมากจริงๆ อย่าเลือกที่จะดื่มกาแฟนะคะ แต่ให้น้องๆ ลองหลับตาหรืองีบสัก 10-15 นาที ก็จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมากค่ะ หรือถ้าแอบงีบไม่ได้ก็ให้ลุกไปเดินซัก 5 นาที ล้างหน้าล้างตาแล้วก็กลับมาเรียนต่อจะทำให้สดชื่นมากขึ้นค่ะ
>..< อยู่ห่างๆ อาหารไขมันสูง เช่น ชีส เนย มาการีน ครีม อาหารทอดทั้งหลาย เพราะจะมีแคลอรี่สูง ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมาก และจะทำให้น้องๆ รู้สึกเฉี่อยชา
>..< ลุกขึ้นเดินซัก 10 นาที เป็นทางที่ดีที่จะให้ร่างกายตื่นตัว เมื่อรู้สึกเหนื่อยจนเอนเดอร์ฟินหลั่งในระดับสูง ก็จะช่วยให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งก็จะช่วยฟื้นพลังงานให้น้องๆ ด้วยล่ะค่ะ ลองง่ายๆ เดินไปเข้าห้องน้ำซัก 10 นาที แล้วลองยืดกล้ามเนื้อ บิดบริหารร่างกายสักครู่ก็จะช่วยเพิ่มความตื่นตัว ได้พอควรเลย








วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

2 คน ที่เราควรคิดถึงมากที่สุดในโลก




โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน ทีวี และสวนหน้าบ้าน มีไว้สำหรับพ่อและแม่
เวลาไม่มีเงิน คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีเงินคนแรกที่คิดถึงคือแฟนและเพื่อน


อยากได้รถ คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่
แต่พอมีรถ คนแรกที่จะไปรับคือแฟนและเพื่อน


ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
อาหารบนโต๊ะที่บ้าน มีสำหรับพ่อและแม่


พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน เพื่อความอยู่รอด
ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน เพื่อให้หลับฝันดี


เวลาเรามีความสุข มักจะมองหาแฟนและเพื่อน
เวลาเรามีความทุกข์ คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่


เวลาประสบความสำเร็จ เรามักมองหาแฟนและ

เพื่อนเพื่อนัดฉลองและสังสรรค์ แต่คนที่ดีใจที่สุดคือพ่อและแม่

แต่พ่อและแม่ กลับกลายเป็นคนที่เรามองข้ามไป


โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
ทีวี และสวนหน้าบ้าน มีไว้สำหรับพ่อและแม่


ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ
พ่อและแม่กับทำงาน หรือ นอนหลับเก็บแรงไว้ทำงานหาเงินในวันรุ่งขึ้น

เพื่อแลกความสุขของลูก อยากให้ลูกเรียนสูง ๆ
เวลาแต่งงานคนที่เป็นธุระหาสินสอดทองหมั้นคือพ่อและแม่

คนที่มีความสุขคือลูก


พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย เพื่อให้ลูกได้ดี

แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูดเป็นแค่เรื่องไร้สาระ
พ่อและแม่ คือผู้ฝ่าฟันปัญหาเป็นร้อยพันประการเพื่อลูก

แต่พอลูกมีปัญหา มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย


พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง และยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่
ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด คำว่า “พ่อ” หรือ “แม่” อาจเป็นคำแรกที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด

อาจเป็นคำง่ายๆ สั้นๆ ที่ มีความหมายยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก



เราอาจไม่ต้องคิดถึงท่านในทุกๆเวลาที่เราหายใจเพราะเรารู้

ว่าท่านคงไม่ได้เรียกร้องมากมายขนาดนั้นขอแค่ 1 ใน 10

ของที่ท่านคิดถึงเราก็พอ เพียงเท่านี้ ... ท่านคงจะดีใจ ...



วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

นักเรียนมัธยมที่ตัวเล็กที่สุดในโลก !



นักเรียนมัธยมที่ตัวเล็กที่สุดในโลก !







"ชโยติ" ยืนถ่ายรูปพร้อมกับเพื่อนๆ หุ่นของเธอขนาดเดียวกับกระเป๋าเลย

หนังสือพิมพ์เดลี่เมล์ ของประเทศอินเดีย รายงานว่า ชโยติ สาวน้อยร่างจิ๋วที่สุดในโลก อายุ 15 ปี ชาวอินเดีย ที่มีความสูงเพียง 33.8 เซนติเมตร และหนักเพียง 5.4 กิโลกรัม ได้ถูกเชิญมาเปิดตัวในรายการทีวี ช่อง 4 ของประเทศอังกฤษ

สาวน้อยคนนี้ อาศัยอยู่ที่เมืองนากปุระ รัฐมหาราษฎะ เป็นลูกคนที่ 4 มีพี่สาว 2 คน อายุ 23 และ 18 ปี พี่ชายอายุ 22 ปี ส่วนพ่ออายุ 52 ปี แม่อายุ 45 ปี ทุกคนรูปร่างปกติ ซึ่งชโยติกล่าวว่า ภูมิใจที่เป็นเด็กสาวตัวเล็กที่สุดในโลก ไม่ได้ตกใจ หรือเสียใจที่ตัวเล็ก ชอบที่คนอื่นมองด้วยความสนใจ

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องร่างกาย กล่าวว่า ความเตี้ยแคระของชโยติมาจากความผิดปกติที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนออกมาไม่เพียงพอ และจะมีรูปร่างนี้ไปตลอดชีวิต

ชโยติ ได้ไปโรงเรียนทุกวัน โดยมีที่นั่งจัดพิเศษไว้ให้ โดยเด็กสาว ชโยติ ได้เล่าว่า ตอนไปโรงเรียนวันแรกกลัวเหมือนกัน เพราะทุกคนตัวโตกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้ปกติแล้ว ไม่ได้รู้สึกแตกต่าง ในฐานะเป็นวัยรุ่นก็เหมือนเด็กสาวทั่วไป ชอบแต่งหน้า แต่งตัวสวยๆ ฝันไว้ว่าอนาคตจะเป็นดารา ทำงานภาพยนตร์

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

10 วิธี เอาชนะความโกรธ

10 วิธี เอาชนะความโกรธ


1. หลีกเลี่ยง การหลีกเลี่ยงต่างจากการหลีกหนี ไม่ได้แปลว่าคุณขี้ขลาด
หรือกลัวเลยซักนิดเดียว แต่มันหมายถึง การแสดง EQ ในตัวคุณต่างหาก
ที่สามารถระงับอารมณ์โกรธได้เป็นอย่างดี



2. หาที่ปรึกษา แต่จะปรึกษา หรือระบายอะไรกับใครทั้งทีก็ดูตาม้าตาเรือหน่อยนะคะ
ว่าเค้าคนนั้นไว้ใจได้แค่ไหน ไม่งั้นอาจจะเป็นงูพิษแว้งกัดคุณทีหลังก็ได้



3. กินแก้โกรธ เรื่องกินเนี่ยไม่เข้าใครออกใครจริง
ๆนะคะไม่ว่าใครถ้าลองได้กินอาหารสุดโปรด สุดอร่อยที่ตัวเอง ชอบแล้วล่ะก็
ลืมเรื่องอื่นไปได้เล้ยย ว่าแต่อย่าโกรธบ่อยนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน



4. เย็นดับร้อน หาเครื่องดื่มเย็น ๆซักแก้วเผื่อว่าความเย้น
ความหวานของเครื่องดื่มจะช่วยดับความร้อนภายในใจ ของเราได้บ้าง
แต่อย่าเอาแบบที่แอลกอฮอล์เลยนะคะ เพราะมันอาจจะทำให้เราขาดสติ
เรื่องเล้กจะกลายเปนเรื่องใหญ่ไปได้ค่ะ



5. หัวเราะชนะโกรธ เพราะการหัวเราะนั้นมีแต่ประโยชน์ค่ะ
ไม่เคยมีโทษต่อร่างกายเลย คิดซะว่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า
ดูหน้าตัวเองตอนกำลังโกรธ ในกระจกก็ได้ค่ะ มันคงตลกไม่น้อยเลย
หัวเราะให้ความโกรธมันกระจายไปเลย



6. น้ำตาชนะทุกอย่างได้ การร้องไห้นั้นเป็นการระบายความเครียด
รวมทั้งระบายความโกรธได้อีกด้วย ลอง ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ
แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ



7. ร้องเพลงงัย
การร้องเพลงจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี
ร้องตะโกนให้มันดัง ๆ ปลดปล่อยอารมณืออกไปตามเพลงให้เต็มที่
แล้วความโกรธก็จะหลุดลอยไปตามเสียงเพลงนั่นแหละค่ะ



8. ลืมมันซะ หากิจกรรมดีดีทำ เลิกคิดถึงเรื่องที่ทำให้คุณโกรธ
ให้สมองได้พักผ่อนอยู่กับสิ่งที่คุณชอบ และรักดีกว่า
อย่าไปใส่ใจกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย



9. นอนหลับซะเลย เวลาที่คนเราโกรธจะรู้สึกปวดหัว
แล้วหัวมันก็เกิดหนักขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รับรอง
ว่าถ้าคุณได้นอนหลับเอาแรงซักงีบ เมื่อคุณตื่นขึ้นมา
คุณจะต้องรู้สึกดีขึ้นอย่างแน่นอนเลยค่ะ



10. รู้จักอภัย ฟังดูแล้งออกจะเป็นนางเอกไปซักนิด แต่ลองทำดูซิคะ
แล้วคุณจะรู้ว่าการให้อภัยเนี่ยนอกจากจะเป็น การให้โอกาสคนอื่นแล้ว
ยังทำให้เราสบายใจขึ้นได้อีกด้วย ลองให้อภัยคนอื่นดูซิคะ
แล้วจะรู้ว่าชีวิตเราดีขึ้นขนาดไหน

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พับแบงค์แบบนี้...ทำได้ไงอ่ะ

พับแบงค์แบบนี้...ทำได้ไงอ่ะ






































































วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

"กลิ่นปาก" เหม็นจังเลย







กลิ่นปาก" เหม็นจังเลย








เพื่อนๆเคยเกิดเหตุการณ์หมดความมั่นใจในตัวเอง เพราะรู้สึกว่า "มีกลิ่นปาก" บ้างไหมจ๊ะ




ถ้าเคยล่ะก็ แล้วทราบกันหรือไม่จ๊ะว่าสาเหตุของกลิ่นปากเกิดมาจากอะไร




ขอบอกว่าไม่ใช่เพียงแค่อาหารอย่างเดียวนะจ๊ะ เพราะมันมาจาก.....











อาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีรสจัดและมีส่วนประกอบของ หัวหอม


สะตอ กระเทียม ทุเรียน ปลาร้า กะปิ ฯลฯ







โรคฟันผุ ฟังดูว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ใช่ไหมจ๊ะที่ฟันผุเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้าง



ปัญหากลิ่นปากให้เราได้แล้ว แต่ขอบอกว่ามันเป็นความจริงจ้ะ เพราะฟันผุเป็นแหล่ง



สะสมเศษอาหาร ที่เมื่อทับถมไปนานๆ ก็จะบูดเน่าและส่งกลิ่นเหม็นออกมาได้






โรคเหงือกอักแสบ ถ้าเหงือกของเรามีอาการอักแสบมากก็จะทำให้เกิดหนองและ


แตกออกมาได้ ดังนั้นถ้าน้องๆ มีอาการแบบนี้ก็มีสิทธิ์มีกลิ่นปากสูงขึ้น








ไซนัสอักแสบ คนที่เป็นโรคนี้ปัญหาส่วนใหญ่ที่มักจะพบ คือ


ปัญหาเรื่องกลิ่นปากและลมหายใจเหม็น








โรคเกี่ยวกับปอด ไม่ว่าจะเเป็นวัณโรคปอด มะเร็งปอด ฯลฯ


ผู้ป่วยก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดกลิ่นปากได้








ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ถ้า มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ทานอาหารแล้วไม่ย่อย ฯลฯ


ก็จะมีปัญหาเรื่องกลิ่นปากได้ง่าย




เมื่อทราบถึงสาเหตุของกลิ่นปากแล้ว พี่ปัดว่าเรามาทราบถึงวิธีแก้ไขกันบ้างดีกว่า....





แปรงฟัน ให้สะอาดโดยอย่าลืมว่าจะต้องแปรงลิ้นด้วย


และปิดท้ายด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปากอีกครั้ง แค่นี้ลมหายใจของน้องๆ ก็จะหอมแล้ว




ฝรั่ง สำหรับคนที่ไม่มีเวลาแปรงฟันหลังจากทานอาหารเสร็จ


ให้เคี้ยวหมากฝรั่งช่วยแทน เคี้ยวไปเรื่อยๆ จนเรารู้สึกฟันและปากของเราสะอาด





กินก้านผัก หรือ ฝรั่งบ้าง เพราะในอาหารเหล่านี้จะช่วยทำความสะอาดซอกฟันได้







งดกินลูกอมที่มีรสหวาน เพราะลูกอมรสหวาน


เป็นอาหารของแบคทีเรียทำให้เติบโตได้ดี และเป็นสาเหตุ


ที่ทำให้เกิดฟันผุ และมีกลิ่นปาก






วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

OXFORD UNIVERSITY อยู่ในประเทศ อังกฤษ









OXFORD UNIVERSITY อยู่ในประเทศ อังกฤษ
และเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของอังกฤษ



































วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

AuOvOm~โรคที่น่ากลัวที่สุด ตอนนี้ !!

โรคที่น่ากลัวที่สุด ตอนนี้ !!
ขวัญผวากันทั้งโลก หลังจากมีไข้หวัดหมู (ชื่อแรก) ที่ต่อมาเพิ่มความน่ากลัวกลายเป็น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเม็กซิโก ที่ตอนนี้ทำคนเสียชีวิตไปแล้ว 81 คน มีแนวโน้มว่าอาจเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก โดยเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ทั่วโลกแอบเสียวหลัง และจับตามองอย่าระมัดระวัง ตั้งระดับการเตือนภัยล่าสุดไว้ที่ 5 จาก 6 ระดับเลยมาทำความรู้จักไว้ก่อน จะได้เข้าใจพื้นฐานของไข้หวัด และป้องกัน รักษาตัวให้ไม่ต้องเสี่ยง
1. ควรหลีกเลี่ยงเข้าใกล้คนเป็นไข้หวัด หรือการใช้ชีวิตร่วมกันเกินไป อย่างเช่น รับประทานอาหารด้วยภาชนะเดียวกัน, ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน ฯลฯ ไม่ได้ให้ไปรังเกียจเพื่อนๆ ที่เป็นไข้หวัดนะครับ แต่เตือนเอาไว้ให้ระวัง เผื่อใครเผลอใช้ชีวิตปกติจนชิน ช่วงนี้ไม่ได้แล้วนะครับ รัวะงตัวเอาไว้ก่อนดีกว่า อ่อ พวกหนุ่มๆ ที่มั่นใจในความแข็งแรง ก็อย่าเสี่ยงนะครับ ไวรัสเป็นเรื่องภายในร่างกาย กล้ามใหญ่แค่ไหน ก็สามารถเป็นได้
2. แม้เวลาไม่สบายจะเกิดอาการเบื่ออาหาร ไม่อยากกินอะไรเสียเลย แต่อาหารถือว่าสำคัญมากในการฟื้นไข้ เพราะร่างกายจะนำโปรตีนไปสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย บำรุงเม็ดเลือดขาวให้สู้ไวรัสกันเถอะ
3. เป็นเวลาเป็นไข้หวัด เราจะตัวร้อนเพราะ ไม่ใช่เพราะเชื่อโรคที่ทำให้ตัวของเราร้อนโดยตรง แต่เมื่อร่างกายมีเชื้อโรคเข้าไปมากๆ ทำให้ร่างกายขับสารบางอย่างออกมา ซึ่งถ้าสารนี้มีมากๆ ตัวตัดอุณภูมิในร่างกายก็จะเกิดอาการรวน จนร่างกายมีอุณภูมิสูง แล้วตัวร้อนนั่นเอง
4. ไวรัสโรคหวัด เป็นไวรัสที่แข็งแรงมาก สามารถอาศัยได้ทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่คุณมองอยู่นี่แหละ แม้แต่ผิวหนังของเราก็มีด้วย รอคอยเวลาที่ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ มันก็จะเข้ามาจัดการทันที
5. วิตามินซีไม่ได้ช่วยรักษาโรคไข้หวัด เพราะการกินวิตามินซีเป็นเพียงการช่วยการป้องกันเท่านั้น ถ้าเป็นไข้หวัดแล้ว วิตามมินซีก็ไม่ทันแล้วล่ะ
6.ไข้หวัดไม่มียารักษา เนื่องจากไวรัสของไข้หวัด แข็งแรงมาก ตอนนี้การรักษาทางการแพทย์ จะเป็นการฉีดวัคซีนต้องกัน(ขณะนี้ยังไม่มี และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ผลิตใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้ได้)
วิธีที่ดี และอุ่นใจที่สุดจากไวรัสโรคไข้หวัดคือ การป้องกันร่างกาย
ไม่ให้ไวรัสนี้เข้ามาทำร้ายเราได้ ด้วยวิธีทำได้ง่าย เช่น
กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำสะอาด
ออกกำลังกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ต้านทานไข้หวัด
หมั่นล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการไอ จาม
อย่าอยู่ใกล้ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดจนเกินไป
พักผ่อนให้เพียงพอ

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

AuOvOm~โรงแรมลอยฟ้า....สุดหรู

โรงแรมลอยฟ้า....สุดหรู

เอามาให้ดูกันนะค่ะ