วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิถีการกินของชาวสเปน ที่มีเอกลักษณ์แถมอร่อยซะจริงๆ





Topic วันนี้จะเป็นเรื่อง "วัฒนธรรมการกินของชาวสเปน" ซึ่งเพื่อนสาวคนนี้ได้ไปเป็น นักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ที่แคว้น Catalunya (กาตาลูญา) เมือง Barcelona (บาร์เซโลน่า) แต่เท่าที่ฟังคนอื่นเล่าก็ปรากฏว่า เมืองอื่นๆ ก็มีวัฒนธรรมการกินแบบนี้เหมือนกัน




- โดยในตอนเช้า ช่วงเวลาก่อนไปเรียนหนังสือหรือออกไปทำงาน ชาวสเปนมักจะทานอะไรที่สะดวก ง่ายๆ เช่น ถ้าเป็นผู้ใหญ่ จะทานกาแฟ น้ำผลไม้กับขนมปังครัวซองต์ แต่ถ้าเป็นเด็ก จะทานนมกับคอนเฟลกซ์หรือขนมปัง จะเห็นได้ว่า มักทานอะไรกันที่เบาๆ ไม่หนักมาก การทานอาหารมื้อหนักๆ ในช่วงเช้าจะไม่มีให้เห็นเลย




- ในตอนกลางวัน มื้อกลางวันของชาวสเปนจะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 14.00 - 15.00 (ช้ามากมาย หิวบรมหิว) ซึ่งในมื้อนี้จะเป็นอาหารที่ทานหนักและมากที่สุดของชาวสเปน ถ้าเป็นตามโรงเรียนต่างๆ เวลา 11.00 จะอนุญาตให้นักเรียนพักทานแซนวิชที่เตรียมมาจากบ้านเป็นการรองท้อง (ไม่งั้นท้องร้องกันสนั่น) และจากนั้น ทางโรงเรียนจะอนุญาตให้นักเรียนกลับบ้านไปทานอาหารกลางวันกันที่บ้าน และจะกลับมาเรียนอีกทีในช่วงเวลา 15.30 - 17.00 แต่สำหรับเด็กที่บ้านอยู่ไกลโรงเรียน ทางโรงเรียนก็จะมีบริการจัดอาหารกลางวันให้ทานกันที่โรงเรียน ซึ่งอาหารกลางวันนั้นจะเน้นเนื้อสัตว์ และแป้ง (จำพวกข้าว เส้นพาสต้า มันฝรั่ง)




- มื้อเย็น จะทานกันในช่วงเวลา 20.00 - 21.00 (ช้ามากๆ) ซึ่งการทานในมื้อเย็นจะไม่หนักเท่ามื้อกลางวัน แต่จะใช้เวลาทานค่อนข้างนาน เนื่องจากเป็นมื้อที่สมาชิกในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ซึ่งมักจะทานกันไปเรื่อยๆ จนถึง 22.00 อาหารที่ทานก็จะเป็นอาหารเบาๆ เช่น ซุปต่างๆ ไข่เจียว โดยจะทานเคียงกับขนมปังเป็นหลัก ซึ่งหลังจากทานเสร็จนั้น ก็จะเข้านอนกันทันที










มาดูอาหารประจำชาติสเปนบ้างดีกว่า



1. ข้าวผัดสเปน (Paella)เป็นอาหารสเปนชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนข้าวผัดบ้านเรา แต่วิธีทำจะซับซ้อนและยุ่งยากกว่ามาก จะผัดโดยใส่อาหารทะเลต่างๆ หรือว่าไก่ หมูก็ได้แล้วแต่สะดวก แต่ส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ Saffron (หญ้าฝรั่น) ที่จะให้กลิ่นหอมเฉพาะ โดยทั่วไปจะทำอาหารชนิดนี้เฉพาะเวลามีโอกาสสำคัญเท่านั้น



2. ไข่เจียวสเปน (La Tortilla de Patatas)ไข่เจียวสเปน คือไข่เจียวที่ใส่มันฝรั่งและหอมหัวใหญ่บดนั่นเอง โดยเมื่อทำเสร็จจะมีความหนาประมาณครึ่งนิ้ว หน้าตาคล้ายๆ ขนมเค้กมันฝรั่งทอด ซึ่งจะทานเคียงกับขนมปังราดน้ำมันมะกอก




3. แฮมเค็ม (Jamón Serrano หรือ Jamón Iberico) เป็นแฮมสดที่ตัดเอาส่วนขาของหมู พอกเกลือ แล้วนำไปแขวนไว้ในถ้ำหรือโรงนาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นนำออกขายทั้งขาหรือแล่เป็นแผ่นๆ ทานเคียงกับขนมปังราดน้ำมันมะกอก โดยถ้าเป็น Jamón Iberico จะทำมาจากหมูดำ ซึ่งมีราคาแพงกว่า Jamón Serrano




วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันชาติสหรัฐอเมริกา




วันชาติสหรัฐอเมริกา



4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319 วันชาติสหรัฐอเมริกา (Independence Day) โดยอาณานิคมของสหราชอาณาจักร 13 แห่งในดินแดนอเมริกาได้ออก "คำประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักร" (Declaration of Independence) ต่ออังกฤษ ก่อให้เกิดประเทศใหม่ชื่อว่า "สหรัฐอเมริกา" (United State of America) ขึ้น ผู้ร่างคำประกาศดังกล่าวคือ โธมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของประเทศ คำประกาศดังกล่าวได้กลายเป็นพื้นฐานระบอบประชาธิปไตยของประเทศนี้
ดินแดนแถบนี้ได้มีชาวอเมริกันพื้นเมือง หรือ "อินเดียนแดง" (Indian) อพยพมาจากทวีปเอเชียเมื่อกว่า 25,000 ปีมาแล้ว จากนั้น นักสำรวจชาวสเปนได้เดินเรือมาสำรวจทางภาคใต้และตะวันตกเมื่อต้นศตวรรษที่ 16 ในปี 2150 ชาวอังกฤษกลุ่มแรกได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เมือง เจมส์ทาวน์ (Jamestown) จากนั้นชาวยุโรปกลุ่มอื่น ๆ ได้อพยพตามเข้ามาพร้อมกับนำทาสผิวดำจากแอฟริกาเข้ามาด้วย แล้วขยายออกไปทางด้านตะวันตกอย่างรวดเร็ว โดยการขับไล่ชาวอินเดียนแดงให้ถอยร่นออกไป หลังจากประกาศอิสรภาพแล้วก็ได้เกิด สงครามกลางเมือง (American Civil War) ขึ้นในปี 2319-2326 ระหว่างรัฐฝ่ายใต้ทั้ง 13 รัฐที่ต้องการเอกราช กับ 21 รัฐฝ่ายเหนือที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ หลังจากชัยชนะของฝ่ายใต้ อังกฤษจึงยอมรับประเทศใหม่นี้ จากนั้นสหรัฐอเมริกาก็แผ่ขยายอาณาเขตของตนเองจนมีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงกว่า 4 เท่าตัว ประกาศรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2330 ซึ่งยังคงใช้มาจนปัจจุบัน เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีอำนาจทางการเงินและการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบัน ประเทศสหรัฐอเมริกามีพื้นที่ทั้งหมด 9,631,418 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากรัสเซีย แคนาดา และจีน เมืองหลวงคือวอชิงตัน, ดี.ซี. (Warshing, D.C.) มีพื้นที่ทั้งหมด 9,631,418 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยมลรัฐ (State) 50 มลรัฐ แต่ละรัฐจะรับผิดชอบในการออกกฎหมายของตนเอง ปกครองในรูปแบบ สหพันธรัฐ (Federal Republic) ปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสรี โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ มีประชากรทั้งหมดประมาณ 300 ล้านคน (พ.ศ. 2550) ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ หน่วยเงินตราดอลลาร์สหรัฐ (USD หรือ $ )